WHAUP มั่นใจรายได้ปี 2562 ยังโตได้ต่อเนื่อง หวังโครงการ EEC หนุน พร้อมหาโอกาสลงทุนในเวียดนามเพิ่ม เผยทบทวนแผนลงทุน 5 ปีเพิ่มงบลงทุนเวียดนาม ปีนี้ยังยืนยันเป้ารายได้เติบโต 10-15% โดยครึ่งปีหลังธุรกิจเดินหน้าตามแผน คาดเปิดให้บริการธุรกิจค้าปลีกก๊าซธรรมชาติในโครงการ ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด เอ็นจีดี 2 ได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
นายวิเศษ จูงวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) กล่าวว่า WHAUP จะได้ประโยชน์จากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากทางกลุ่ม WHA มีนิคมอุตสาหกรรม 9 แห่งใน EEC ซึ่งหากผู้ประกอบการเข้ามาเป็นลูกค้านิคมอุตสาหกรรม WHAUP จะเป็นผู้ให้บริการน้ำและไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียว
“สำหรับปีหน้าเราคาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดี เพราะเรามั่นใจว่า การใช้ไฟฟ้าเติบโตชัดเจน เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ใช้ไฟฟ้าควบคุมการผลิต แต่การใช้น้ำเรายังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน เพราะอาจจะใช้น้ำลดลงก็ได้ เพราะฉะนั้นเรายังระมัดระวังอยู่” นายวิเศษ กล่าว
นอกจากนี้ นายวิเศษ กล่าวอีกว่า WHAUP ยังศึกษาการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการจัดการน้ำและไฟฟ้า
“เราตั้งใจจะทำ Smart Grid – Micro Grid ในนิคมของเรา มองไปถึงการใช้พลังงานทดแทน หลักๆ คือ Solar Roof Top รวมทั้งโรงงานไฟฟ้าจากขยะครัวเรือน เพราะเมื่อมีคนเข้ามาทำงาน มีของเสีย แต่อยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยีที่เหมาะสมยังไม่ได้ลงทุน แต่ได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมแล้ว ตั้งแต่ปี 2559” นายวิเศษ
นายวิเศษ กล่าวอีกว่า ช่วงนี้อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนงบลงทุนสำหรับ 5 ปีข้างหน้า เพราะงบลงทุน 5 ปี 10,000 ล้านบาท ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2560 ยังไม่ได้รวมการลงทุนต่างประเทศไว้ด้วย ซึ่งแผนลงทุนปี 2562 และแผน 5 ปี จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการในเดือน พ.ย. นี้
“หลังจากที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยเริ่มจากธุรกิจสาธารณูปโภคด้านน้ำ แต่เรามองว่า ยังมีโอกาสที่จะขยายธุรกิจอื่นๆ ในเวียดนามได้อีก เนื่องจากเวียดนามมีการเติบโตเร็ว นอกจากนี้ในปีหน้าจะมีแผนลงทุนต่อเนื่อง โดยมีโรงไฟฟ้า 2 โรง โรงบำบัดน้ำ และ Solar Rooftop ที่คาดว่า จะลงทุนเพิ่ม” นายวิเศษ กล่าว
ทั้งนี้ นายวิเศษ ยังยืนยันเป้าหมายการเติบโตรายได้ในปีนี้ที่ 10-15% จากปี 2560 ที่มีรายได้ประมาณ 3,700 ล้านบาท
ในครึ่งปีหลัง 2561 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนงานที่วางไว้ โดยธุรกิจค้าปลีกก๊าซธรรมชาติในโครงการ ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด เอ็นจีดี 2 คาดว่าการก่อสร้างแล้วเสร็จ และพร้อมจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 ได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2561 ขณะที่โครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2562
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทฯได้สิทธิในการดำเนินธุรกิจสาธารณูปโภคด้านน้ำ ในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ เหงะอาน ที่ประเทศเวียดนาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการคาดว่าจะดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2562 เช่นเดียวกับโครงการ Solar Rooftop ทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2561 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ (ธุรกิจน้ำ) จำนวน 423.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบจากปีก่อน และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (ธุรกิจพลังงาน) จำนวน 246.8 ล้านบาท ลดลง 64.0% เมื่อเทียบจากปีก่อน ในจำนวนนี้ประกอบด้วยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 315.3 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 98.9 ล้านบาท ซึ่งการบันทึกผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นรายการทางบัญชีที่ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานที่แท้จริงและกระแสเงินสดของบริษัท
บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่บริษัทเป็นเจ้าของจำนวน 295.9 ล้านบาท ลดลง 57.8 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ มีจำนวน 611.2 ล้านบาท มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2561 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ (ธุรกิจน้ำ) จำนวน 845.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (ธุรกิจพลังงาน) จำนวน 906.1 ล้านบาท ลดลง 3.3% เมื่อเทียบจากปีก่อนในจำนวนนี้ประกอบด้วยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 64.7 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 338.9 ล้านบาท ซึ่งการบันทึกผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นรายการทางบัญชีที่ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานที่แท้จริงและกระแสเงินสดของ บริษัท
บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่บริษัทเป็นเจ้าของจำนวน 1,012.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ มีจำนวน 1,076.8 ล้านบาท มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 69.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นายวิเศษ กล่าวเพิ่มว่า สำหรับการเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มาจากการเพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจน้ำและพลังงาน ซึ่งรายได้ธุรกิจน้ำเพิ่มขึ้นมาจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมทั้งรายเดิม และรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการใช้น้ำของโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจพลังงาน บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้า SPP ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ เต็มไตรมาสทั้ง 5 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ วีทีพี โครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ ทีเอส 1 โครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ ทีเอส 2 โครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ ทีเอส 3 และโครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ ทีเอส 4 ส่งผลให้กำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯอยู่ที่ 510.5 เมกะวัตต์ อีกทั้งโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน มีจำนวนวันในการพร้อมจ่ายไฟฟ้ามากกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการปิดปรับปรุงซ่อมบำรุงตามแผน
ขณะเดียวกัน ต้นทุนทางการเงินลดลง เนื่องจากมีการชำระคืนเงินกู้สถาบันทางการเงินก่อนกำหนดจำนวน 2,500 ล้านบาท ลดต้นทุนดอกเบี้ยได้ประมาณ 1.5% โดยการออกและเสนอขายหุ้น (IPO) เมื่อเดือนเมษายน ปี 2560 และออกหุ้นกู้ในเดือนสิงหาคม ปี 2560 จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้จากสถาบันทางการเงิน โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของเจ้าของ 0.70 เท่า