HoonSmart.com>>”เจดีฟู้ด” ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและพัฒนาสูตรเครื่องปรุงรสอาหารแบบครบวงจร คาดเสนอขาย 150 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายใน SETต้นไตรมาสที่ 2/65 ลงทุนด้านโรงงานใหม่พร้อมหนุนรายได้ปีนี้โต 25% เล็งขยายช่องทางตลาดต่างประเทศ คาดตลาดเครื่องปรุงรส-บะหมี่สำเร็จรูปในประเทศเติบโต 3-4%
บริษัทเจดีฟู้ด (JDF) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและพัฒนาสูตรเครื่องปรุงรสอาหารแบบครบวงจร (Food Sea-soning) จัดโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า JDF จะเสนอขายหุ้น IPO และการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะอยู่ในช่วงต้นไตรมาส 2/2565 ในหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
JDF มีความได้เปรียบในด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้บริหารที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาสูตรอาหารให้แก่ลูกค้าในธุรกิจอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่ และธุรกิจเอสเอ็มอี มีกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์เฉพาะที่สามารถช่วยลูกค้าพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้ตรงความต้องการของตลาด ซึ่งได้พัฒนาสูตรมาแล้วกว่า 300 ราย หรือกว่า 2,000 เมนู
นอกจากนี้บริษัทได้สร้างโรงงานแห่งใหม่ในปี 2564 ได้มาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต รองรับโอกาสการเติบโตในยุคหลังโควิด-19 เพื่อการก้าวสู่ผู้นำการพัฒนาและผลิตสูตรเครื่องปรุงรสให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งบริษัทจะมีการเติบโตไปพร้อมกับคู่ค้าพันธมิตร
นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JDF กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการระดมทุนและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเพิ่มขีดความสามารถขยายธุรกิจ
ส่วนเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO จะนำไปขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้ อินเดีย รวมถึงการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา เครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง และลงทุนในระบบเทคโนโลยี และระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต พัฒนาระบบการเชื่อมโยงด้านข้อมูล รองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
บริษัทมองเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงหลังผ่านช่วงโควิด-19 ไปตั้งแต่ปี 2565-2568 ซึ่งกลุ่มตลาดเครื่องปรุงรสจะมีการเติบโตขึ้นเฉลี่ย 4.16% ต่อปี หรือมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 6.1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2568 จากปีก่อนที่ 5 หมื่นล้านบาท และตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่เป็นกลุ่มสินค้าหลักอย่างหนึ่งของบริษัทจะยังมีการเติบโตเฉลี่ย 3.61% ต่อปี และมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 จากปีก่อนที่ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทยังสามารถเติบโตไปพร้อมกับตลาดที่เติบโตได้ต่อเนื่อง
ด้านเป้าหมายรายได้ของบริษัทในปี 2565 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 25% จากปีก่อน กลุ่มลูกค้ายังคงมีการสั่งผลิตและพัฒนาสูตรเครื่องปรุงรสเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ 71% มาจากกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรส รองลงมาเป็นการรับจ้างผลิตสินค้ามะพร้าวอบกรอบ 22% และการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทต่างชาติ 7% แบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นอุตสาหกรรมอาหาร 76% ลูกค้าแฟรนไชส์ 10% ลูกค้าต่างประเทศ 7.2% และลูกค้าทั่วไป 5.5%
ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ในปี 2562 มีการสร้างโรงงานใหม่ และปี 2563 มีการซื้อเครื่องจักร ทำให้อัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สิน(ROA) และอัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ปรับตัวลง นอกจากนี้มีการกู้เงินมาลงทุน และจ่ายเงินปันผล รวมถึงยอดขายหดจากสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด และในปี 2564 มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนด้วย