บล.ทรีนีตี้ มองหุ้นเดือนก.ย.แกว่งออกด้านข้าง ชี้นักลงทุนต่างชาติยังมองไทยปลอดภัย แม้มีปัจจัยกดดันความผันผวนในประเทศเกิดใหม่และสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ แนะกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้าน-แนวรับ ชูกลุ่มหุ้นปันผลสูงราคายัง Laggard น่าสนใจ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินทิศทางตลาดหุ้นเดือนก.ย.โดยคาดว่า SET Index จะปรับตัว Sideways ถึง Sideways up โดยมองกรอบแนวต้านไว้ที่ 1,740 และ 1,770 จุด ส่วนกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,700 และ 1,670 จุด
สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในเดือนก.ย.นี้ โดยปัจจัยบวกคือผลดีของการจัดงาน Thailand Focus ในช่วงปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะช่วยผลักดัน Sentiment หรือบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ จากการศึกษาของทรีนีตี้นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา พบว่าในช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากงานดังกล่าวสิ้นสุดลง SET Index มักปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยราว 3% และนักลงทุนต่างชาติมักซื้อสุทธิหุ้นไทยเฉลี่ยราว 10,000 ล้านบาท
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรตามธีมดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA) ที่อาจได้ Sentiment เชิงบวกจากโครงการ EEC และภาวะการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการออกมาตรการเก็บภาษี 15% บนรายได้ดอกเบี้ยของกองทุนตราสารหนี้ ที่อาจทำให้เม็ดเงินบางส่วนไหลออกจากกองทุนตราสารหนี้ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยมองกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์สำคัญได้แก่กลุ่มหุ้น Income stock ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่จ่ายผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีความผันผวนของราคาในระดับต่ำ ทั้ง Infrastructure Fund / Property fund / REIT รวมไปถึงหุ้นสามัญอื่นๆที่มีคุณลักษณะดังกล่าว อาทิเช่น RATCH, ASP, INTUCH
ปัจจัยบวกสำคัญในเดือนนี้อีกประเด็นคือ มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมองว่าไทยเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยโดยเปรียบเทียบจากเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ความผันผวนใดๆในต่างประเทศ นักลงทุนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะโยกย้ายเงินเข้าสู่ตลาดทุนไทยเช่นกัน ทั้งนี้ ในรอบ 1 เดือนล่าสุด พบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยไปกว่า 70,000ล้านบาทแล้ว ส่งผลให้เงินบาทเป็นสกุลเงินประเทศเกิดใหม่ที่ปรับตัวแข็งค่ามากที่สุด
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในส่วนของปัจจัยเสี่ยงเดือนนี้ยังคงอยู่ที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าขณะนี้ความกังวลสงครามการค้าอาจลดลงในช่วงสั้น จากการที่สหรัฐฯกับเม็กซิโกบรรลุข้อตกลงทวิภาคี ซึ่งจะปูทางไปสู่การปรับปรุงข้อตกลงการค้า NAFTA แต่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้นยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร จนทำให้ล่าสุดผู้ประกอบการทั่วโลกเริ่มชะลอการผลิตลง สะท้อนจากดัชนี Global PMI ที่ ณ ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี โดยจากการศึกษาของทรีนีตี้พบว่า ดัชนี Global PMI นี้มักเป็นดัชนีชี้นำ Performance ของดัชนี MSCI EM ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีความผันผวนที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ อาทิ ตุรกี อาร์เจนติน่า แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย ซึ่งหากปะทุขึ้นเมื่อใด อาจส่งผลกดดันเชิง Sentiment ต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ได้ จึงแนะนำให้ติดตามเครื่องชี้ความเสี่ยงต่างๆ เช่น สกุลเงินต่างๆ Bond yield และ CDS Spread เป็นต้น รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงในประเทศ คือ ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ถูกปรับลดลงเล็กน้อย ภายหลังจากที่ บจ.รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/61 เสร็จสิ้น ส่งผลให้ SET Index ขาดปัจจัยสนับสนุนในเชิงของ Fundamental และทำให้การปรับตัวขึ้นของดัชนี จะมาพร้อมกับ PE ที่สูงขึ้น
“สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนกันยายน แนะนำนักลงทุนที่ถือหุ้นมาก่อนหน้านี้ให้ทยอยขายทำกำไรที่กรอบแนวต้าน 1,740 จุดและ 1,770 จุดตามลำดับ ส่วนผู้ที่ต้องการเข้าสะสม ให้รอจังหวะดัชนีอ่อนตัวลงสู่แนวรับ 1,700 และ 1,670 จุด” นายณัฐชาต กล่าว
ทั้งนี้ จากการที่ทรีนีตี้มีมุมมองว่ากนง.จะยังคงดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้ รวมไปถึงปัจจัยการเก็บภาษี 15% บนรายได้ดอกเบี้ย ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ล่าสุด ทำให้มองว่ากลุ่มหุ้นปันผลสูงยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนหากดัชนีมีการย่อตัวระหว่างทาง โดยแนะนำให้โฟกัสไปยังหุ้นในดัชนี SETHD (SET High Dividend Index) ที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อาทิเช่น BBL, LH, TISCO