MFC : All Eyes on Fed’s FOMC Meeting Outcome

 
Highlighted Funds

MGF : เรามองว่าหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) จะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงกลางวัฏจักร (Mid-Cycle) และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นประเภทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี

M-EDGE : โอกาสลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืน คัดเลือกลงทุนหุ้นคุณภาพดี สามารถสร้างมูลค่าได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก อีกทั้ง กองทุนกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มี business cycle ต่างกัน และหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง

MRENEW : ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานยั่งยืนและพลังงานทดแทนทั่วโลก (Renewable Energy) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนเม็ดเงินของรัฐบาลต่างๆทั่วโลก เราคาดว่าธีมพลังงานสะอาดจะเป็น Mega Trend ที่เติบโตต่อไปอีกในทศวรรษหน้า

MEURO : ตลาดหุ้นยุโรปดัชนี STOXX600 ถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯดัชนี S&P500 นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี STOXX600 และดัชนี S&P500 อยู่ที่ -2S.D.

 
Investment Strategy

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงปรับฐานลงต่อเนื่อง ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง -5.7% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง -7.6% โดยมีสาเหตุหลักคือความไม่แน่นอนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามเรามองว่าปัจจุบันตลาดได้ตอบรับการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ไปแล้ว ซึ่งหากผลการประชุม FOMC ในวันที่ 26 ม.ค. นี้ไม่ได้มีประเด็นในเชิงลบที่นอกเหนือกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลประกอบการของหุ้น Big Tech อย่าง Microsoft, Apple และ Tesla ที่จะรายงานงบการเงินในสัปดาห์นี้ หลังจากที่กลุ่มธนาคารส่วนใหญ่อย่าง Bank of America, Wells Fargo, JPMorgan และ Citigroup รายงานกำไรออกมาดีกว่าคาด โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 นักวิเคราะห์คาดกำไรของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 จะเติบโต 23.1%YoY ลดลงจากไตรมาส 3 ที่ 42.6%YoY ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปดัชนี STOXX600 คาดกำไรเติบโต 48.6%YoY ลดลงจาก 60.5%YoY ในไตรมาส 3

อย่างไรก็ตามกำไรที่ชะลอลงในไตรมาส 4 ปี 2564 และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นสิ่งที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เราแนะนำให้ติดตาม Earnings Surprise ว่ากำไรที่ประกาศออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหรือต่ำกว่าคาดมากน้อยแค่ไหน ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ระยะเวลา 1 ปีลง 0.10% สู่ระดับ 3.70% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ระยะเวลา 5 ปี ลง 0.05% สู่ระดับ 4.60% ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยอายุ 5 ปี ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน เม.ย. ปี 2563 โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มสภาพคล่องในระบบ เราคาดว่าจีนจะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินอย่างต่อเนื่องสวนทางกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ที่ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้กับตลาดหุ้นจีนและตลาดตราสารหนี้จีนในปีนี้