SCGP ลั่นกำไรปี 65 นิวไฮต่อ ยอดขาย1.4 แสนลบ. เทงบลงทุน 2 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” ประกาศกำไรก่อนภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม(อีบิทดา) ปี 65 ดีกว่าปี 64 ที่ทำนิวไฮเกิน 2.1 หมื่นล้านบาท หลังเก็บเกี่ยวรายได้ซื้อกิจการเต็มปี เพิ่มกำลังการผลิตเสร็จ รายได้จากอาเซียน-ยุโรป แซงหน้าไทย ตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 1.4 แสนล้านบาท คาดใช้เงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ซื้อ 1-2 กิจการ ไตรมาส 4/64 กำไรดีเกินคาดมาจากรายได้พิเศษ 1,100 ล้านบาท บอร์ดจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.40 บาท


นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า แนวโน้มในปี 2565 คาดว่ากำไรก่อนภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม(อีบิทดา) จะดีกว่าปี 2564 คาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1.4 แสนล้านบาท หลังจากเก็บเกี่ยวรายได้จากการซื้อกิจการเต็มปี และโครงการขยายกำลังการผลิตที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปี ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้จะใช้งบใกล้เคียงกับปีก่อน  2 หมื่นล้านบาท ในการซื้อกิจการ 1-2 กิจการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่นการซ่อมบำรุงต่างๆ

“เราจะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มจากกิจการที่ซื้อมาทั้งในการ synergy การลดต้นทุน ขยายฐานลูกค้าและการตลาด  แต่ก่อนเราทำ B2B เป็น B2B2C ทำให้รายได้จากอาเซียน-ยุโรปสูงกว่าไทย  จากปี 2564 มีรายได้จากการขายในอาเซียนสัดส่วน 40% ยุโรป 2% และประเทศไทย 43%  ขณะที่ปัญหาเรื่อง ค่าระวางเรือ-ต้นทุนวัตถุดิบสูง และการแพร่ระบาดของโควิดยังมีอยู่ แม้ว่าปัจจุบันหลายประเทศสถานการณ์ดีขึ้นก็ตาม เช่น เวียดนามไม่มีการกักตัวแล้ว”นายวิชาญกล่าว

ส่วนผลงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 8,294.37 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.93 บาท เพิ่มขึ้น 1,836.89 ล้านบาทหรือ 28.45% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 6,457.48 ล้านบาท หรือ 1.95 บาทต่อหุ้น โดยอีบิทดาเกินกว่า 2.1 หมื่นล้านบาทครั้งแรก มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 124,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 การหยุดชะงักของห่วงโซอุปทาน การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าและอัตราค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง

เฉพาะไตรมาส 4/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการมีรายได้จากการขาย 35,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับไตรมาสที่ 3 โดยมีอัตรากำไรสุทธิที่ 6% ส่วนหนึ่งมาจากรายได้พิเศษจำนวน 1,100 ล้านบาท จากการปรับปรุงประมาณการหนี้สินเงินค่าหุ้นที่คาดว่าจะต้องจ่าย (Earn-Out) ของ Go-Pak ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาซื้อขายหุ้น

ในปี 2564 บริษัทเติบโตอย่างมั่นคง  มาจากการบริหารโมเดลธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ การพัฒนาสินค้านวัตกรรมและการขยายพอร์ตสินค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค รวมถึงการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบ Organic Expansion และ Merger and Partnership (M&P) และการวางแผนบริหารจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้นับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนต.ค. 2563 จนถึงปัจจุบัน SCGP ได้ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ ใช้เงินลงทุนรวมตลอดอายุโครงการประมาณ 40,000 ล้านบาท ทั้งการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) และการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ รวม 12 โครงการ ซึ่งแล้วเสร็จ 9 โครงการ ส่วนอีก 3 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบัน ได้แก่1.การขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ United Pulp and Paper Co., Inc. (UPPC) ประเทศฟิลิปปินส์ อีก 220,000 ตันต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1/2565 2.ขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในประเทศไทยและประเทศเวียดนามอีก 1,838 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2/2565 3.โครงการก่อสร้างฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ภายใต้ Vina Kraft Paper Company Limited (VKPC) ด้วยกำลังการผลิต 370,000 ตันต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2567

นอกจากนี้ SCGP ยังคงดำเนินธุรกิจโดยมีสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เป็นกรอบแนวคิดสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่ง โดยในปี 2564 บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รับรางวัล Rising Star Sustainability Awards จาก SET Awards 2021 และได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับ Gold Medal จาก EcoVadis Sustainability Rating และเพื่อยกระดับนโยบายด้าน ESG บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ด้วย

ด้านคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.40 บาท กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 5 เม.ย. และจ่ายเงินวันที่ 25 เม.ย.2565 ทั้งนี้ บริษัทจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 0.25 บาท รวมทั้งปีแจก 0.65 บาทสำหรับผลดำเนินงานปี 2564