บลจ.ไทยพาณิชย์เสิร์ฟ RMF ลงทุนตามดัชนี Nasdaq เชื่อเติบโตระยะยาว

HoonSmart.com>> บลจ.ไทยพาณิชย์ เสิร์ฟ “SCBRMNDQ” กองทุน RMF ลงทุนตามดัชนี Nasdaq มองระยะสั้นหุ้นเทคโนโลยีได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อเร่งตัว เฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ย คาดผลประกอบการยังเติบโตในอัตราที่สูง เปิดขาย IPO 24 – 28 ม.ค. นี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ลงทุนช่วง IPO รับหน่วย SCBSFF สูงสุด 1,000 บาท

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็นโอกาสจากหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำที่ลงทุนตามดัชนี Nasdaq ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส เอ็นดีคิว เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMNDQ) เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี หลังจากที่เปิดในชนิดสะสมมูลค่า – SCBNDQ(A) และชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ – SCBNDQ(E) แล้วเมื่อเดือนส.ค.2564 ที่ผ่านมา เริ่มเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 24 – 28 ม.ค.2565 นี้ ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท สามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย

นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในช่วง IPO จะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้น (SCBSFF) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารธนาคารพาณิชย์ และหุ้นกู้ มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด

นางนันท์มนัส กล่าวว่า สหรัฐฯ นับว่าเป็นตลาดสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 โดยภาพรวมเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดวิกฤต Covid สำหรับในปี 2022 นี้เศรษฐกิจคาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวเต็มที่โดยเชื้อ Omicron มีแนวโน้มที่จะเป็นเพียงโรคประจำถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในวัฏจักรเศรษฐกิจ ประกอบกับนาย โจ ไบเดน ได้ลงนามกฎหมายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐในวงเงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีกรอบระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐฯ ให้เดินหน้าต่อไปข้างหน้า

นอกจากนี้ ดัชนี NASDAQ ยังเป็นดัชนีที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเติบโตสูงมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว ที่ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำที่มีชื่อเสียงและมีผู้ใช้งานทั่วโลก โดย NASDAQ มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่า 20 ล้านล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ และให้ผลตอบแทนย้อนหลังสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564) ดังนั้น กองทุน SCBRMNDQ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนระยะยาวให้แก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้

“สำหรับมุมมองการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้น แม้ในระยะสั้นอาจได้รับแรงกดดันจากการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ส่งผลให้ธนาคารกลางเฟดต้องออกมาตรการปรับลดขนาด QE และการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า แต่ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคาดว่าจะเติบโตได้ในอัตราที่สูง ประกอบกับส่วนต่างกำไรที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยลดแรงกดดันจากต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ ในระยะยาว ความต้องการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในภาคอุตสาหกรรม (Automation) โทรคมนาคม (5G) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค (Internet of Things) ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการตอบสนองความต้องการดังกล่าว”นางนันท์มนัส กล่าว

สำหรับกองทุน SCBRMNDQ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Invesco NASDAQ 100 (กองทุนหลัก) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เป็นกองทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ บริหารโดย Invesco Capital Management LLC ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ

ส่วนกองทุนหลัก Invesco NASDAQ 100 ETF (QQQM) จะลงทุนในหุ้นของบริษัททั้งในและนอกประเทศสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด จำนวน 100 บริษัท และเป็นส่วนประกอบของดัชนี NASDAQ-100 โดยเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet, Facebook และ Tesla สูงกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นอื่นของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ-100

นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมี Expense ratio ต่ำ และมีผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี Nasdaq 100 ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 27.33% เทียบกับดัชนีอ้างอิง NASDAQ-100 อยู่ที่ 27.51% ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (ที่มา: Invesco ณ 31 ธ.ค.2564)