Highlighted Funds
MGF
: เรามองว่าหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) จะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงกลางวัฏจักร (Mid-Cycle) และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นประเภทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี
M-EDGE
: โอกาสลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืน คัดเลือกลงทุนหุ้นคุณภาพดี สามารถสร้างมูลค่าได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก อีกทั้ง กองทุนกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มี business cycle ต่างกัน และหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง
MRENEW
: ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานยั่งยืนและพลังงานทดแทนทั่วโลก (Renewable Energy) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนเม็ดเงินของรัฐบาลต่างๆทั่วโลก เราคาดว่าธีมพลังงานสะอาดจะเป็น Mega Trend ที่เติบโตต่อไปอีกในทศวรรษหน้า
MEURO
: หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 เราเริ่มเห็นตลาดหุ้นยุโรปดัชนี STOXX600 ถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯดัชนี S&P500 นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรปยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี STOXX600 และดัชนี S&P500 อยู่ที่ -2S.D.
Investment Strategy
สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ตามที่ตลาดคาด โดยมองการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ กนง. ยังคาดเศรษฐกิจไทยในปี 2564-2565 จะขยายตัวที่ 0.9% และ 3.4% ตามลำดับ ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.7% และ 3.9% ในปีนี้และปีหน้า โดยได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและการทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เราประเมินว่ามีโอกาสน้อยมากที่ กนง. จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565 จนกว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาที่ระดับเดียวกันกับตอนก่อนเกิดโควิดในช่วงต้นปี 2566
นอกจากสถานการณ์ของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับยอด ผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธ์ุโอมิครอนที่พุ่งสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
โดยในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวันเฉลี่ย 184,095 คน นับเป็นโควิดสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในสหรัฐฯ ณ ตอนนี้
ทั้งนี้สถาบัน Oxford Economics คาดว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจะเป็นตัวฉุดโมเมนตัมของ GDP สหรัฐฯในไตรมาส 1 ปี 2565 ให้ชะลอลงเหลือขยายตัว 2.5%YoY ขณะที่ทั้งปี 2565 คาดการณ์ GDP ขยายตัว 4.1%YoY หากร่างกฎหมาย Build Back Better (BBB) ถูกขัดขวางในวุฒิสภาก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถูกปรับลดประมาณการลง 0.4% เหลือขยายตัวเพียง 3.7%YoY เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รวมถึงงบประมาณของรัฐบาลจำนวนมากในการใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมและการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้เรามองว่าประเด็นของสถานการณ์ไวรัสโควิด และการผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ (ฺBBB) จะเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในไตรมาส 1 ปีหน้า