บลจ.ยูโอบีมองหุ้นไทยปี 65 เทิร์นอะราวด์ ชู 3 ธีมอนาคตโดดเด่นทั่วโลก

HoonSmart.com>> “บลจ.ยูโอบี” คาดตลาดหุ้นไทยปี 65 เทิร์นอะราวด์ แรงหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน แบงก์ มองเป้าดัชนี 1,650-1,700 จุด คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก สินทรัพย์เสี่ยงปรับฐาน ปัจจัยการเมืองมีความเสี่ยงสูงขึ้นเพิ่มความผันผวนตลาด หนุนทองคำขึ้นแตะ 1,900 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนหุ้นเอเชียคาด Outperform พร้อมชูลงทุน 3 ธีมอนาคตเด่น “Industry Revolution-FinTech and Security-Consumer Evolution”

นายจิติพล พฤกษาเมธานินท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปี 2565 มองเป้าหมายดัชนีที่ 1,650-1,700 จุด ซึ่งเป็นปี Turnaround ของตลาดหุ้นไทย จากหุ้น 2 กลุ่มเด่นในกลุ่มเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ซึ่งมีการทำพลังงานทางเลือกมากขึ้น อีกทั้งคาดว่าราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวในระดับ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้กำไรเติบโตโดดเด่น กลุ่มปิโตรเคมีน่าจะฟื้นตัวได้ดี นอกจากนี้กลุ่มแบงก์ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและแนวโน้มจะเห็นการควบรวมหรือผนึกฟินเทคมากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นแบงก์ไม่แพงมากน่าจะขึ้นได้เร็ว

ส่วนกลุ่มเปิดเมือง ทั้งท่องเที่ยวและเฮลธ์แคร์คาดว่าจะโดดเด่นในครึ่งหลังของปี 2565 เมื่อการเปิดเมืองชัดเจนมากขึ้น

นายจิติพล กล่าวว่า สำหรับมุมมองการลงทุนทั่วโลกในปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การกระตุ้นลดลงและนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงการเมืองสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกที่ปัจจุบันมีราคาแพงขึ้นมากจากนโยบายการเงินผ่อนคลายในปี 2563-2564 ที่ผ่านมา จึงมองสินทรัพย์ทั่วโลกมีโอกาสปรับฐาน ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่โหมดระมัดระวังตัวมากขึ้น ทำให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจะกลับมาน่าสนใจโอกาสเห็น 1,900 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียมองว่าจะ Outperform จากปีนี้ที่ Underperform และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟดโดยตรง ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ส่วนบอนด์ไม่น่าสนใจ ขณะที่การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่ โดยเฉพาะ บิทคอยท์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงเต็มตัวต้องระวังปรับฐานพร้อมหุ้นโลกและเชื่อว่าในปีหน้าจะไม่เห็นการนิวไฮของบิทคอยน์เหมือนช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้นักลงทุนรายย่อย Work Form Home และเข้าลงทุนบิทคอยน์จำนวนมาก อีกทั้งมองว่าหากบิทคอยน์ปรับฐานจะทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกกดดันไปด้วย จึงต้องเน้นหุ้นเทคโนโลยีลงทุนในอนาคตและมีราคาที่เหมาะสม

นอกจากนี้มองการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนน่าจะเป็นรอบสุดท้าย ความรุนแรงเข้าใกล้ไข้หวัดจึงมองไม่ว่าเป็นความเสี่ยงมากในปี 2565 แต่จุดที่น่าสนใจคือ เงินเฟ้อ เชื่อว่ามีโอกาสขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า โดยเฉพาะครึ่งปีแรก นโยบายการเงินก็น่าจะเข้มงวดทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานและกลับขึ้นมาได้ในที่สุด

“ในปี 2565 นอกจากจะเป็นปีที่เฟดใช้นโยบายการเงินเข้มงวด ดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว การเมืองยังเป็นอีกปัจจัยเสี่ยง ซึ่งเดือนพ.ย.2565 จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีความเสี่ยงที่พรรคเดโมแครตของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีจะเสียสองสภาให้พรรครีพับลิกัน ทำให้นโยบายเศรษฐกิจลำบากขึ้น ความผันผวนจะสูงขึ้น ขณะที่ฝั่งยุโรป ฝรั่งเศสจะเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน เม.ย.2565 และอิตาลีจะเลือกตั้งประธานาธิบดีเช่นกัน ทำให้เกิดความผันผวนทางการเมืองขึ้นได้”นายจิติพล กล่าว

ส่วนจีนจะมีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ช่วงปลายปีและต่ออายุนายสี จิ้น ผิง นั่งประธานาธิบดีต่ออีกสมัย 5 ปี และจะส่งผู้บริหารฮ่องกงคนใหม่ไปทำหน้าที่ในเดือน มี.ค. น่าจะส่งผลให้หุ้น IPO เทคโนโลยีมากขึ้น ขณะที่ไทยจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัว 3.5% และหากการท่องเที่ยวฟื้นตัวก็น่าจะเห็นเติบโตมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนค่าเงินบาทคาดแข็งค่าอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลลาร์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อ 1.2% และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี

นายจิตติพล กล่าวว่า ธีมการลงทุนเด่นในปีหน้ามอง 3 ธีมได้แก่ 1.ธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industry Revolution) ใช้หุ่นยนต์เพิ่มกำลังการผลิต นำเทคโนโลยีมาแทนที่ 2.ธีมระบบการเงินไร้ตัวกลางที่มาพร้อมกับความปลอดภัย (FinTech and Security) ให้การบริการเข้าถึงประชาชนง่ายมาก โดยภาคการเงิน ธุรกิจไฟแนนซ์ดั้งเดิมจะเห็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งประยุกต์ใช้บล็อกเชน เข้ามาทำตลาด และ3.ธีมวิวัฒนาการของการบริโภค (Consumer Evolution) ซึ่งเป็นธีม Turnaround การใช้อินเตอร์เน็ตทำธุรกิจ เช่น E-Commrce จากปีนี้จีนมีการควบคุม น่าจะสามารถกลับมาได้ปีหน้าเมื่อเห็นความชัดเจนนโยบาย แต่ระวังเทคโนโลยีขนาดใหญ่, อินโนเวชั่น,จีโนมิกส์, อินเตอร์เน็ต เป็นกลุ่มที่ต้องระวังถ้าสภาพคล่องในตลาดลดลง