HoonSmart.com>> “ไออาร์พีซี” มุ่งกำไรมั่นคง ไม่ผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ ตั้งเป้า EBITDA ปี 68 ร่วม 2 หมื่นล้านบาท ปี 73 เกิน 3 หมื่นล้านบาท ได้ธุรกิจใหม่หนุน 1 ใน 3 และ 50% ตามลำดับ วางเงินลงทุนปี 65-69 ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เงินลงทุนสำรองอีก 2 หมื่นล้านบาท ใช้ลงทุนธุรกิจใหม่ ซื้อกิจการ-ร่วมลงทุน 35-45% จ่อปิดดีล 1 ราย ภายในไตรมาส 1/65 อยู่ระหว่างเจรจาบจ. อีก 1 ราย
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2568 และปี 2573 อยู่ในระดับที่มากกว่า 20,000 ล้านบาท และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ โดยจะเป็น EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง ไม่ผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะมีธุรกิจใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของ EBTIDA ภายในปี 2568 และสัดส่วน 50% ภายในปี 2573
สำหรับเงินลงทุนในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) เบื้องต้นบริษัทตั้งไว้ที่ประมาณ 43,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถเพิ่มเงินลงทุนได้อีก (เงินลงทุนสำรอง) 20,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 63,000 ล้านบาท ใช้ซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนต่างๆ ประมาณ 35-40% ของเงินลงทุนรวม โดยในปี 2565 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่ ซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนต่างๆ ประมาณ 35-40% และอีก 30% จะใช้ลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร 5 (UCF) คาดว่าจะเสร็จตามแผน เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเดือน ม.ค.2567 ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และอื่นๆในบริษัท
นายชวลิตกล่าวว่า แผนการซื้อกิจการ หรือการสร้างธุรกิจใหม่ (Step Out Business) เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่บริษัทจะดำเนินต่อในอนาคต ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพูดคุยกับหลายๆบริษัทในประเทศ และมี 1 ราย ที่อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบกิจการ (Due Diligence) คาดว่าจะรู้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 1/2565 รวมถึงมีอยู่อีก 1 ราย ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา นอกจากนี้บริษัทก็ยังมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ หรือลงทุนในธุรกิจที่บริษัทไม่เคยทำ โดยต้องสอดคล้องกับการเติบโตอย่างตามความยั่งยืน เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ตามเป้าหมายที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ลง 20% ในปี 2573
ส่วนเป้าหมายอีกหนึ่งอย่างก็คือ การลงทุนในกลุ่มธุรกิจข้างเคียง (Adjacent Business) บริษัทมีแผนจะต่อยอดผลิตภัณฑ์ในช่วงกลางน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อสร้าง Value Chain ในการทำธุรกิจ โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ได้แก่ โครงการผลิตเม็ดพลาสติก พีพี เกรด เมลต์โบลน (PP Melt blown) เพื่อผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองอุปกรณ์ทางการแพทย์สิ้นเปลือง คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนธ.ค.นี้ และ
นอกจากนี้ได้ จัดตั้งโครงการ วชิรแล็บ (Vajira Lab) ห้องปฏิบัติการกลาง เพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ที่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนธ.ค.นี้่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Medical Hub ของอาเซียน
ด้านการต่อยอดการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจในปัจจุบัน (Core Uplift) บริษัทอยู่ระหว่างทยอยการลงทุนโครงการ UCF รวมถึงมีแผนจะต่อผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการนำน้ำมันดีเซลและเบนซิน ไปต่อยอดในโครงการผลิตอะโรเมติกส์ (MARS) เพื่อให้ได้ออกมาเป็นอะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์
ขณะที่แนวโน้มในปี 2565 บริษัทประเมินว่าราคาน้ำมันดิบจะกลับเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้น คาดว่าราคาจะเฉลี่ยประมาณ 65-68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งอาจจะทำให้บริษัทไม่มีการบันทึกกำไรสินค้าคงคลัง (Stock Gain) เข้ามา ส่วนกำไรขั้นต้นจากต้นทุนการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) คาดว่าจะสูงขึ้นกว่าปี 2564 ซึ่งปัจจุบันอยู่ประมาณ 12.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้านส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread) ก็อาจจะเริ่มกลับสู่สมดุลมากขึ้น อัตราการใช้กำลังการผลิตจะใกล้เคียงกับปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 185-190 KBD เนื่องจากปีหน้า บริษัทได้ปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นบางช่วง แต่ยังสามารถเติมวัตถุดิบ (Feedstock) เพิ่มเติมได้ ทำให้ปริมาณการขายยังมากอยู่
“ในช่วงไตรมาส 4/2564 ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในช่วงต้นไตรมาสที่ผ่านมา ก่อนจะปรับตัวลดลง โดยเราประเมินว่าราคาน้ำมันดิบช่วงโค้งสุดท้ายอยู่ในกรอบ 71-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยอาจจะมี Stock Gain บ้าง ซึ่งในภาพรวมปี 2564 เรามั่นใจว่าดีแน่นอน ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ” นายชวลิต กล่าว