ทริสเรตติ้งให้อันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน”ธนชาตประกันภัย” ที่ “AA-” (stable)

HoonSmart.com>>ธนชาตประกันภัย สุดแกร่ง ทริสเรทติ้งให้อันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินที่ “AA-” (stable) สะท้อนเป็นบริษัทประกันภัยชั้นนำ มีเงินกองทุนและสินทรัพย์ที่มั่นคง สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง เดินหน้านำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการ เป็นผู้นำในธุรกิจ

นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้จัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับธนชาตประกันภัยที่ระดับ “AA-“ พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่ ” เนื่องจากธนชาตประกันภัยมีการดำเนินธุรกิจในระดับที่ดี อยู่ในกลุ่มบริษัทประกันวินาศภัยชั้นนำ 10 รายแรก รวมถึงมีความชำนาญในการประกันภัยรถยนต์ มีสถานะการเงินแข็งแกร่ง เนื่องจากมีความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับที่ดี มีเงินกองทุนแข็งแกร่ง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง

ทริสเรทติ้ง มองว่าธนชาตประกันภัยมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อกลุ่มทุนธนชาต โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ประกอบด้วย บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ในสัดส่วน 51% และ สโกเทียแบงก์ 49%

ด้านความสามารถในการแข่งขันของธนชาตประกันภัยนั้น ทริสมองว่าธุรกิจประกันภัยรถยนต์ของบริษัทมีความแข็งแกร่ง มีผลการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรที่ดี เป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มีส่วนแบ่งทางการตลาดของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงอยู่ในอันดับ 9 จากผู้ประกอบการ 56 ราย และยังมีความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจประกันภัยรถยนต์โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 6 ของอุตสาหกรรม

ทริสเรทติ้ง ยังมีมุมมองว่าธนชาตประกันภัยมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับสถาบันการเงิน นายหน้าประกันภัย และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งจะช่วยรักษาระดับเบี้ยประกันที่บริษัทจะได้รับต่อไปได้เป็นอย่างดีในระยะ 2-3 ปี ข้างหน้า ทั้งนี้ ในปี 2563 ธนชาตประกันภัยมีเบี้ยประกันภัยรับตรงที่มาจากนายหน้าประกันในสัดส่วนสูงสุดที่ระดับ 56% ของเบี้ยรวม ตามด้วยเบี้ยที่ขายผ่านธนาคาร 38% และช่องทางขายตรง 4%

นายพีระพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันธนชาตประกันภัยมีเงินทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว จำนวน 4,930 ล้านบาท และอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 สูงถึง 1,318% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ คปภ. กำหนดไว้ที่ 140%

สำหรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจในอนาคตนั้น บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบงานดิจิทัลและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงความคุ้มครองได้ง่าย สะดวก และปลอดภัย มีการเก็บข้อมูลผ่านคลาวด์ และนำระบบ AI มาใช้ในกระบวนการทำงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งมอบบริการให้กับ ลูกค้า คู่ค้า ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางขึ้นต่อไป