HoonSmart.com>>“กรุงไทย” กำไรสุทธิ ไตรมาส 3 แตะ 5,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตั้งสำรองในระดับสูงเพิ่ม Coverage ratio เป็น 163.9% รองรับความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ แต่เทียบไตรมาส 2กำไรลด 15.9% ขณะที่ 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3%
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย(KTB) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 5,055 ล้านบาท ลดลง 15.9%เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ลดลง 8.3% ตามรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลง 1.8% แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัว 1.1% จากสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดีและการบริหารต้นทุนทางการเงิน โดย NIM อยู่ที่ 2.51% ลดลงเล็กน้อยจาก 2.55% แต่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 7.0% จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย
แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 3,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.4% จากตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 34.5% แม้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ ลดลง 8.0% มาจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 6.4% แต่ธนาคารบริหารต้นทุนทางการเงินประกอบกับสินเชื่อขยายตัวได้ดี ช่วยลดผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายในการภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 4.4% ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 46.21% ลดลงเล็กน้อยจาก 47.16% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)
ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 24,291 ล้านบาท แม้ว่าลดลง 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเป็นการตั้งสำรองในระดับสูง ส่งผลให้ Coverage ratio เท่ากับร้อยละ 163.9% เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 147.3% ณ สิ้นปี 2563 และ NPLs Ratio-Gross อยู่ที่ร้อยละ 3.57% ลดลงจากร้อยละ 3.81% ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี ผลจากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ เท่ากับ 47,841 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 8.3% ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แม้ว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ดีถึง 9.6% จากสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง รวมถึงการลดลงของดอกเบี้ยเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลให้ NIM เท่ากับ 2.52% ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 3.8%จากการบริหารจัดการในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 44.28% ใกล้เคียง 44.45% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)
ณ 30 กันยายน 2564 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 322,626 ล้านบาท และมีเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 389,100 ล้านบาท คิดเป็น 16.10% และ 19.42% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงตามลำดับ
“แม้เศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 และการเปิดประเทศ แต่ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารจึงยังคงรักษาระดับการตั้งสำรองในระดับสูง ติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้ทันการณ์ ตรงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม” นายผยงกล่าว