HoonSmart.com>> “บริทาเนีย” บริษัทย่อยของ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” เตรียมเข้า SET ไม่เกินกลางปี 65 ธุรกิจโค้งสุดท้ายปีนี้ดีขึ้น จากการเปิดประเทศ เตรียมออกแคมเปญใหม่ กระตุ้นยอดขายโตเข้าเป้าที่ 8 พันล้านบาท คาดเปิดครบ 9 โครงการ มูลค่ารวม 7,750 ล้านบาท วางแผนพัฒนา 5 ปี ให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ และจังหวัดที่มีศักยภาพ
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย (BRI) เปิดเผยว่า BRI เป็นบริษัทย่อยของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ปัจจุบันก.ล.ต.กำลังพิจารณาไฟลิ่งของ BRI คาดว่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงต้นปี หรือ กลางปี 2565 มีวัตถุประสงค์การระดมในครั้งนี้ เพื่อใช้ สำหรับพัฒนาโครงการ หรือขยายธุรกิจ และนำไปชำระคืนเงินกู้ยืม รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในปี 2564 บริษัทคาดว่าไตรมาสที่ 3อาจจะมีผลกระทบจากโควิด-19 บ้างเล็กน้อย แต่ยอดขายยังคงเข้าเป้าทั้งปีที่ 8,000 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกมียอดขายได้ 4,157 ล้านบาท คาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้าย ธุรกิจจะเริ่มดีขึ้น หลังจากนายกฯได้ประกาศการเปิดประเทศ โดยจะช่วยให้กำลังการซื้อในประเทศฟื้นตัวกลับมา และอาจจะมีความต้องการจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมด้วย
ส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2564 คาดว่าจะสามารถเปิดได้ประมาณ 9 โครงการ มูลค่ารวม 7,750 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิดได้มากกว่านี้ ในครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 3 โครงการ ส่วนอีก 6 โครงการ จะเปิดในช่วงไตรมาส 4 ทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์อยู่ 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,550 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวแคมเปญ “BRITANIA FEEL GOOD” เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยมีเป้าหมายระยะสั้น มุ่งเน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ BRITANIA และปรับปรุงอัตลักษณ์ให้เป็นที่รู้จัก พร้อมทั้งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้ามากที่สุด ทั้งในด้านคุณภาพ พื้นที่การใช้สอย ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรให้เกิดความสมดุลด้วยแนวคิดการดำเนินงานอย่างยั่งยืน
ด้านเป้าหมายระยะกลางและระยะยาว บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตแบบยั่งยืนและสามารถครองใจลูกค้า เพื่อเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย โดยมีแผนพัฒนาโครงการภายใน 5 ปี ให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ และจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจังหวัดอื่นๆที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดี