HoonSmart.com>>วิจัยกรุงศรี คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 29 ก.ย. นี้ หลังการฉีดวัคซีนคืบหน้า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฟื้นตัว หนุนการส่งออก ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
วิจัยกรุงศรี ระบุถึงมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบายว่า แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์เดิม และผลการประชุมกนง.ครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่ามีความน่าจะเป็นอยู่ที่ 52.7% ที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 29 กันยายนนี้ แต่คาดว่ากนง.จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ปัจจัยหนุนจาก
1.หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางสาขากลับมาดำเนินการได้บ้างแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากที่เคยแตะระดับกว่า 20,000 รายต่อวัน ประกอบกับการฉีดวัคซีนมีความคืบหน้า (เฉลี่ยวันละกว่า 6 แสนโดสในช่วงวันที่ 1-9 กันยายน) และทางการเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดลง
2.ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธปท.ได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID- 19 ทั้งการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ และการสนับสนุนให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะยาวที่เหมาะสมกับลูกหนี้ ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มเติมดังกล่าวอาจสะท้อนถึงการเน้นใช้มาตรการทางการเงินที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้อย่างตรงจุดมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำและอาจช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ไม่มาก
ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอ่อนแอ ขณะที่ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญาณบวก สะท้อนจากข้อมูลเดือนสิงหาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคคาดการณ์ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 46.7 จาก 47.6 เดือนก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ในระยะ 3 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ที่ 90.9 จาก 89.3 เดือนก่อน
อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลงมากเนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของ COVID-19 ที่ลากยาวและกระจายเข้าสู่ภาคโรงงาน กระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนไทยในวงกว้าง ล่าสุดแม้เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดลง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางสาขากลับมาดำเนินการ แต่ยังต้องอยู่ภายใต้พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดอยู่ (สีแดงเข้ม) ต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นเดือนกันยายน จึงคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคธุรกิจและการจ้างงานจะยังคงซบเซา
นอกจากนี้ ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศ โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปีนี้จะเติบโตต่ำที่ 0.5% อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฟื้นตัว หนุนการส่งออกในปีนี้เติบโตได้ที่ 15% ซึ่งจะช่วยเป็นแรงพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรม