ล็อกดาวน์กดศก.วูบ 0.8% ถึง 2% ส่องหุ้นเสี่ยง ถูกหั่นเป้ากำไรปี 64

HoonSmart.com>>ธนาคารดาหน้าปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ ค่าย “เกียรตินาคินภัทร” คาดล็อกดาวน์นาน 3 เดือน จีดีพีโตเพียง 0.5% ธปท.คาดผลกระทบ -0.8% ถึง -2% นักวิเคราะห์มองกลุ่มหุ้นเสี่ยงถูกปรับลดเป้ากำไรปี 64 บล.ฟินันเซียฯ ทยอยหั่นกลุ่มแบงก์, ร้านอาหาร, ห้างสรรพสินค้า, ค้าปลีก, ขนส่งบางตัว, สายการบิน, โรงแรม บล.เมย์แบงก์ฯคาดท่องเที่ยว-การบริโภคเจอแน่ บล.หยวนต้าเล็งแบงก์, ค้าปลีก, ร้านอาหาร 3 โบรกมองกรอบดัชนีสิ้นปี 1,660-1,700 จุด

ธนาคารพาณิชย์แห่ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2564 โดยบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดจะขยายตัวเพียง 1% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.8% เท่ากับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพิ่งคาดการณ์ใหม่เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันธปท.คาดการล็อกดาวน์รอบนี้จะมีผลกระทบ -0.8% ถึง -2% ทั้งนี้ผลกระทบดังกล่าวยังไม่ได้รวมปัจจัยอื่นๆ เช่น มาตรการภาครัฐที่อาจมีเพิ่มเติม และการส่งออกที่ขยายตัวดี  ส่วน KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร คาดการล็อกดาวน์นานอย่างน้อย 3 เดือน เศรษฐกิจจะโตเพียง 0.5% จากเดิมคาดไว้ 1.5% เสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกปี

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่าสถานการณ์โควิดจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงกลางหรือปลายเดือน ส.ค. 2564 จึงเริ่มทยอยปรับลดประมาณกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เน้นกลุ่มที่เติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) ได้แก่กลุ่มธนาคาร ,ร้านอาหาร ,ห้างสรรพสินค้า, ค้าปลีก, ขนส่งบางตัว, สายการบิน และโรงแรม ทำให้ราคาเหมาะสมของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับลดลงด้วย

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มที่เริ่มทยอยปรับประมาณกำไรขึ้น ได้แก่กลุ่ม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี และทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่า รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดี ราคาเป้าหมายของหุ้นที่โดดเด่น ก็จะทยอยปรับขึ้นเช่นกัน

“ตลาดคาดบจ.มีกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 2564 ที่ 84 บาท เราก็ประเมินไว้ใกล้เคียงกัน โดยตลาดมีแนวโน้มจะปรับลดลงอีกครั้งลงมาอยู่ที่ประมาณ 80 บาท หรือแถวๆ 70 ปลายๆ เนื่องจากผลกระทบโควิด-19 ค่อนข้างยาวนาน ส่วนเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2564 เรายังไม่ได้ปรับลดลง อยู่ที่ 1,660 จุด” นายวีระวัฒน์ กล่าว

ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงหรือมีโอกาสถูกปรับลดประมาณการกำไรปี 2564 คือกลุ่มที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศ หรือที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการบริโภค แต่การปรับราคาเป้าหมายลงขึ้นอยู่กับแต่วิธีคิดราคาเป้าหมาย อาทิ วิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระ (Discount Cash Flow : DCF) ก็อาจจะกระทบราคาเป้าหมายไม่มาก ถ้าหากใช้ P/E คิดก็อาจจะกระทบมากกว่า

กลุ่มที่เติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อาทิ กลุ่มส่งออกมาก ก็มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย ส่วนดัชนีสิ้นปี 2564 ยังคงไว้ที่ 1,700 จุด เนื่องจากมองไปยังอนาคต ถึงแม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นก็ตาม และ EPS ที่ 87 บาท ซึ่งคาดว่ายังไม่ปรับลดลงในช่วงนี้ รอดูช่วงไตรมาส 3/2564 ก่อน

ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีกลุ่มไหนที่ถูกปรับลดเป้ากำไรปี 2564 แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะปรับลดลง ซึ่งประเมินว่ากลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มร้านอาหาร ส่วนกลุ่ม Reopening มีโอกาสน้อย เนื่องจากคาดการณ์กำไรไว้ต่ำอยู่แล้ว

ส่วนกลุ่มที่มีแนวโน้มจะปรับประมาณการกำไรขึ้น คือกลุ่มส่งออก ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ แนะนำซื้อ NYT, APCS และ FORTH ส่วนดัชนีสิ้นปี 2564 คาดว่าอยู่ที่ 1,665 จุด และ EPS ที่ 89 บาท ถ้าจะปรับกำไรบจ.ปี 2564 ก็ปรับลดลงน้อย เนื่องจากมีทั้งการปรับขึ้นและลดลงของบางกลุ่ม

ในช่วงตลาดหุ้นผันผวนบล.ไทยพาณิชย์ แนะนำหุ้นปลอดภัย คือ 1. Defensive Plays  กลุ่มการแพทย์ BDMS,BCH, RJH, พลังงานทางเลือก EA, NEX  2.กำไรเติบโต  SCGP, GPSC, TU, PM, SFT, WICE ขณะที่ KCE, HANA แนะนำเทรดดิ้ง โดยยังคงเลี่ยงหุ้น reopening  จากการยกระดับล็อกดาวน์ กระทบ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง โรงแรม ร้านอาหาร

บล.หยวนต้ามอง เงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง 9.3% ยังเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น STA ,NER,HTECH,TTA และNRF

บล.เอเซียพลัสมองหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมองเป็นเพียงการ Technical Rebound ช่วงสั้นๆ ส่งผลให้ Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มน้ำมัน ค่อนข้างจำกัด เช่น PTTEP  มูลค่าเหมาะสม 144 บาท และ PTT มูลค่า 48.50 บาท โดยระยะสั้น แนะนำชะลอลงทุน แต่ในระยะกลาง-ยาวหาจังหวะทยอยสะสมได้

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 22 ก.ค. ปรับตัวขึ้นตามต่างประเทศ และแรงซื้อหุ้นแบงก์ หนุนดัชนีปิดที่ 1,552.36 จุด +11.48 จุดหรือ +0.74% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม  69,687.13 ล่านบาท  เกิดจากแรงซื้อของสถาบันไทยจำนวน 2,429.59 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยขาย 2,470 ล้านบาท และต่างชาติขายเล็กน้อย 10 ล้านบาท