HoonSmart.com>> “สยามเทคนิคคอนกรีต” ผู้ผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ จ่อขายไอพีโอ 203.5 ล้านหุ้น เคาะราคา-เปิดจอง-เข้าเทรดตลาดหลักทรัพฯ ในเดือน ก.ค.2564 นี้ นำเงินขยายธุรกิจ-พัฒนาวัตถุดิบ -ชำระหนี้-ใช้หมุนเวียน มั่นใจรายได้ปีนี้โต 20-25% งานภาครัฐเพิ่ม-ตุน Backlog แน่น รับผลกระทบโควิด-19 ไม่มาก โรงงานกระจายต่างจังหวัด แผนรุกตลาดลาว ลั่นหุ้น Growth Stock จ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40%
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที ในฐานะแกนนำผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) เปิดเผยว่า STECH เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 203.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะกำหนดราคาหุ้น และวันเปิดจองแก่นักลงทุนในช่วงเดือน ก.ค.2564 นี้
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) อีกหนึ่งแกนนำผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น STECH เปิดเผยว่า STECH คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในช่วงเดือน ก.ค.2564 เช่นกัน
ด้านนายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการระดมทุน บริษัทฯจะนำเงินไปใช้ในการ 1.ขยายธุรกิจคอนกรีตอัดแรงประมาณ 298 ล้านบาท แบ่งเป็น สร้างโรงงานใหม่ที่ชลบุรี สาขา 2 , ขยายกำลังการผลิตโรงงานดอนพุด , สร้างโรงงานใหม่ที่ จ. มุกดาหาร , ซื้อรถขนส่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต และ ซื้อเครื่องกดกันสั่นสะเทือน 2.ใช้พัฒนาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตประมาณ 10 ล้านบาท 3.ใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 250-300 ล้านบาท และ4.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ขณะที่แผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าการเติบโต 20-25% จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ คาดว่าในช่วงครึ่งหลังจะเริ่มมีงานออกมาประมูลค่อนข้างมาก โครงการใหญ่ๆมีประมาณ 20 โครงการ และด้วยจุดเด่นที่บริษัทฯมีโรงงานกระจายอยู่ตามพื้นที่ที่มีการลงทุนทั่วภาคกลาง ,ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการลงทุนที่มีมากขึ้น อีกทั้งบริษัทยังมีงานในมือที่รอรับรู้ (Backlog) อีกจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามผลกระทบโควิด-19 ที่มีการปิดแคมป์คนงานตามพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล บริษัทฯอาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่คงไม่มาก เนื่องจากได้กระจายคนงานไปตามโรงงานหรือพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่มีผลกระทบ โดยโรงงานที่ภาคเหนือ 2 แห่ง ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง และที่ชลบุรี 1 แห่ง ยังดำเนินการปกติ อีกทั้งบริษัทมีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพด้วย
“เราเชื่อมั่นว่าโครงสร้างพื้นฐานในประเทศยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งเราเติบโตสอดคล้องตามด้วยเช่นกัน และด้วยจุดเด่นที่มีโรงงานกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ จะทำให้เรามีโอกาสที่จะรับงานได้เพิ่มขึ้น และต้นทุนค่าขนส่งถูกลง ส่งงานได้เร็วขึ้น ความสามารถทำกำไรก็ดีขึ้น อีกทั้งถ้าโรงงานชลบุรี สาขา 2 แล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 นี้ จะทำให้กำลังการผลิตในปี 2564 แตะที่ระดับ 420,000 ลูกบาศก์เมตร/ปี ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ในปีนี้ เรามียอด Backlog ที่เยอะมาก เรามั่นใจว่าผลงานปีนี้โตตามเป้าแน่นอน”
นอกจากนี้บริษัทเริ่มวางแผนในการขยายไปตลาดต่างประเทศ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มเข้าสู่ตลาดประเทศลาวก่อน ถ้าโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่ จ. มุกดาหารแล้วเสร็จภายในปี 2566 คาดว่าจะเริ่มขยายไปบริเวณใกล้ๆก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศลาว
นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า จากการที่ทำงานร่วมกับคณะผู้บริหารมาเป็นเวลากว่า 2 ปี และเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของ STECH ด้วยจุดเด่นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของอุตสาหกรรม ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ให้บริการที่มีคุณภาพ ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสเข้าไปร่วมประมูลในงานเมกะโปรเจกต์ที่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายภาครัฐ มั่นใจว่าหลัง IPO หุ้น STECH จะเป็นหุ้นที่มีการเติบโต อีกทั้งด้วยนโยบายการจ่ายปันผลที่ดี สม่ำเสมอ ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ สะท้อนการเป็นอีกหนึ่งหุ้น Growth Stock ที่น่าสนใจ