บลจ.กสิกรไทย มองลงทุนต่างประเทศยังให้ผลตอบแทนดี ยุโรป-เฮลท์แคร์-อินเดีย-สหรัฐฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลให้กับ 6 กองทุนต่างประเทศ พร้อมกันในวันที่ 14 สิงหาคม 2561 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 567.58 ล้านบาท
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลให้กับ 6 กองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) และกองทุนเปิดเค ยูโรเปียน ซิลเวอร์เอจ หุ้นทุน (K-EUSAGE) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน (K-GHEALTH) และกองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน Unhedged (K-GHEALTH(UH)) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 โดยจะจ่ายปันผลให้กับแต่ละกองทุนในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 กำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 สิงหาคม 2561 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 567.58 ล้านบาท
สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรป นายนาวินให้มุมมองว่าโดยรวมยังขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตจากอุปสงค์ในภูมิภาค และมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านโครงการซื้อพันธบัตร 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนถึงสิ้นปีนี้ อีกทั้งราคาหุ้นยุโรปอยู่ในระดับสมเหตุสมผล (Fair Value) ถูกกว่าประมาณ 30% เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของกองทุน K-EUROPE ในช่วง 6 เดือน และ 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 3.64%ต่อปี และ 11.12%ต่อปี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 3.21%ต่อปี และ 7.87%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 61) ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-EUSAGE ยังให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกอยู่ โดยในช่วง 6 เดือน และ 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 1.02% และ 6.77%ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.24% และ 6.79%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 61)
ด้านมุมมองต่อหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ยังถือเป็นธีมการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ โดยพิจารณาจากจำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้น หนุนการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพและการรักษาโรค อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมธุรกิจสุขภาพทั่วโลกยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในระยะยาว สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-GHEALTH และ K-GHEALTH(UH) โดยกองทุน K-GHEALTH มีผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือน และ 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 3.07% และ 9.80%ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 3.25% และ 10.72%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 61) ส่วนกองทุน K-GHEALTH(UH) มีผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือน และ 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 8.72% และ 10.11%ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 7.69% และ 10.63%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 61)
นายนาวินกล่าวต่อไปว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดียคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตที่ 7.3% ส่งผลให้อินเดียเป็นตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตมากที่สุดในปีนี้ จากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการปฏิรูปประเทศ โดยผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ในช่วง 3 ปี และ 5 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 7.90%ต่อปี และ 16.62%ต่อปี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 7.77%ต่อปี และ 13.58%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 61)
ปิดท้ายด้วยมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเศรษฐกิจยังมีการขยายตัวได้ดี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังขยับเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ระดับ 2% และคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ด้านกฎหมายปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ ที่ประกาศลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อกระตุ้นการบริโภค อีกทั้งลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก 35% เหลือ 21% เพื่อหนุนบรรยากาศการลงทุน ส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นได้จากอัตราการว่างงานที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.9% อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามในประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน และจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบในทุกภูมิภาคไม่มากก็น้อย สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA ในช่วง 3 ปี และ 5 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 12.19%ต่อปี และ 15.15%ต่อปี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 11.90%ต่อปี และ 12.89%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 61)