PwC เผย CEO อาเซียนเชื่อมั่นรายได้-ศก.ฟื้นปี 64 แนะธุรกิจไทยรักษาสภาพคล่อง

HoonSmart.com>> PwC เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นซีอีโอโลก พบซีอีโอในภูมิภาคอาเซียนมีความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของรายได้และเศรษฐกิจโลกในปีนี้เปรียบเทียบกับปีก่อน ชี้ “โรคระบาดและวิกฤตสุขภาพ” เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอันดับหนึ่ง ด้านซีอีโอ PwC ไทย ชี้เศรษฐกิจไทยปี 64 ขึ้นกับการบริหารจัดการและกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร แนะธุรกิจโฟกัสการบริหารกระแสเงินสดเพื่อรักษาสภาพคล่องให้ได้นานที่สุด

นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 24 (24th Annual Global CEO Survey) ของ PwC ซึ่งได้ทำการสอบถามความคิดเห็นซีอีโอเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและการเติบโตของรายได้จำนวน 5,050 รายใน 100 ประเทศและอาณาเขต โดยในจำนวนนี้ เป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จำนวน 236 รายว่า 31% ของซีอีโอในภูมิภาคอาเซียนที่ตอบแบบสำรวจแสดงความเชื่อมั่นว่า การเติบโตของรายได้ทางธุรกิจในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับ 28% ในปีก่อน

ชาญชัย ชัยประสิทธิ์

สอดคล้องกับความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า โดยซีอีโออาเซียนถึง 71% เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น เปรียบเทียบกับปี 2563 ที่ 16% เช่นเดียวกับมุมมองเชิงบวกของซีอีโอทั่วโลกที่ 76% เปรียบเทียบกับ 22% ในปีก่อน และยังเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการถามคำถามนี้ในการสำรวจเมื่อปี 2555

“กว่าหนึ่งปีที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 จนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย มาวันนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นโดยรวมของการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา” นาย ชาญชัย กล่าว

ผลสำรวจของ PwC พบว่า โรคระบาดและวิกฤตสุขภาพกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่หนึ่ง (74%) ที่สร้างความความกังวลให้กับซีอีโอในภูมิภาคอาเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย ตามมาด้วย อันดับที่สอง ความไม่แน่นอนของนโยบาย (57%) อันดับที่สาม กฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป (52%) อันดับที่สี่ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (51%) และอันดับที่ห้า ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก (47%) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ซีอีโอในภูมิภาคต่างหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่ไม่คาดฝันและอาจส่งผลกระทบสูงมากขึ้น

เมื่อถามถึงการลงทุนระยะยาวเพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัลพบว่า ซีอีโออาเซียนกว่าครึ่ง (52%) มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในด้านดังกล่าวมากกว่า 10% เป็นผลมาจากโควิด-19 นอกจากนี้ ซีอีโอในภูมิภาคถึง 46% ยังมีแผนที่จะนำระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีที่สำคัญเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภาพของบุคลากรภายในองค์กร

อย่างไรก็ดี แม้ภัยคุกคามทางไซเบอร์จะเป็นปัจจัยความกังวลในอันดับต้น ๆ ที่ซีอีโออาเซียนมองว่าส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ผลสำรวจกลับพบว่า มีซีอีโอเพียง 32% ที่กำลังวางแผนจะเพิ่มการลงทุนด้านการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา หลายองค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างทยอยออกมาประกาศจุดยืนและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกก่อนการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (Conference of Parties: COP26) ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร แต่ผลสำรวจกลับพบว่า มีซีอีโอในภูมิภาคอาเซียนเพียง 31% ที่แสดงความกังวลมากเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอัตราร้อยละที่ใกล้เคียงกับซีอีโอทั่วโลกที่ 30% ยิ่งไปกว่านั้น มีซีอีโออาเซียนถึง 21% ที่ไม่แสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ปัญหาดังกล่าวอาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจ

เมื่อถามถึงการลงทุนด้านการจัดการความยั่งยืนและการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) พบว่า มีซีอีโอในอาเซียนเพียง 22% เท่านั้นที่มีแผนจะเพิ่มการลงทุนในด้านดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

“สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ซีอีโอในหลาย ๆ ประเทศโฟกัสไปที่การดำเนินกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดก่อน ผ่านการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ตามด้วยการพึ่งพาการเติบโตแบบ Organic growth และแสวงหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และกิจการร่วมทุน” นาย ชาญชัย กล่าวเสริม

นายชาญชัย กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ปี 2564 ยังจะคงเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เพราะภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยการฟื้นตัวของธุรกิจไทยจะเกิดขึ้นได้เร็วหรือไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมไปถึงความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า จะทำได้ตามเป้าหมายของการเปิดประเทศภายในไตรมาสที่ 4 นี้หรือไม่

“ปัจจัยหลักที่จะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คือ ความรวดเร็วในการจัดหาและฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมประชากรทั้งหมด เพราะถ้าดูจากตัวเลขจีพีดีไตรมาสแรกของไทยที่ติดลบถึง 2.6% จะเห็นว่าการแพร่ระบาดภายในประเทศระลอกใหม่ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนและภาคประชาชนหดตัวอย่างชัดเจน แทบทุกบริษัทในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารกระแสเงินสดที่ต้องมีการทบทวนค่าใช้จ่ายและแผนลงทุน เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจให้ดำเนินไปได้นานที่สุดและผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไป” นายชาญชัย กล่าว