เมย์แบงก์ฯ คงมุมมอง “บวก” กลุ่มรพ. ชี้เป้า BH หุ้น laggard ลดน้ำหนัก BCH

HoonSmart.com>> บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งเอง คงมุมมอง “บวก” หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล รายได้จากโควิดหนุนกำไรไตรมาส 1/64 แนะลดน้ำหนัก BCH ราคาหุ้นพุ่งกว่า 34% สะท้อนแนวโน้มดีขึ้นไปแล้ว เพิ่มน้ำหนักหุ้น BH ราคายัง laggard ลุ้นไทยเปิดประเทศเดือนก.ค.นี้

บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล โดยยังคงราคาเป้าหมายหุ้นโรงพยาบาลทั้งหมดไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม ขณะที่เปลี่ยนคำแนะนำหุ้นรายตัว โดยลดน้ำหนัก BCH เป็น ถือ เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มที่ดีซึ่งหนุนโดยรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ Covid แล้ว ราคาหุ้น BCH ปรับตัวขึ้น 34.8% YTD

นอกจากนี้ ยังเพิ่มคำแนะนำ BH เป็น ซื้อ เนื่องจากยัง laggard เพื่อลุ้นไทยเปิดประเทศในเดือน ก.ค.เป็นต้นไป โดยจะเปิดทั้งหมดใน ม.ค.65 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อ BH เนื่องจาก66% ของรายได้ปกติมาจากผู้ป่วยต่างชาติ ตอนนี้ชอบ BH และ BDMS ที่ยัง laggard (รายได้ 30% จากผู้ป่วยต่างชาติ) มากกว่า BCH และ CHG ที่ดูแลผู้ป่วยประกันสังคม

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ยังคงมุมมองบวกต่อ BCH และ CHG จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น QoQ ใน 2Q64 เนื่องจากการ Covid ระลอกที่ 3 ในประเทศไทยซึ่งรุนแรงกว่าระลอกที่ 2 ในไตรมาส 1/64 เนื่องจากสมาชิกประกันสังคมสามารถรับการตรวจโควิดได้ฟรีที่โรงพยาบาลประกันสังคม (ในขณะที่รัฐบาลจ่ายเงินให้โรงพยาบาล 2,300 บาท / การตรวจ) ทั้ง BCH และ CHG น่าจะมีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดสูงขึ้น QoQ เช่น การตรวจโควิดและธุรกิจโรงพยาบาล (ร่วมกับ
โรงแรมดูแลผู้ป่วยโรคโควิดอาการปานกลาง) ในไตรมาส 2/64

สำหรับผู้ประกอบการในโรงพยาบาลทั้งหมด การระบาดระลอกใหม่น่าจะส่งผลเสียต่อการมา รพ.ของผู้ป่วย และด้วยเหตุนี้แนวโน้ม 2Q64 ของ BDMS และ BH อาจลดลง QoQ เนื่องจากเราไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะมีรายได้จากการตรวจ Covid มากพอที่จะชดเชยปริมาณผู้ป่วยที่ลดลง

นอกจากนี้จากการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศไทยและการเปิดประเทศในเดือน ม.ค. 2565 เชื่อว่าในระยะสั้นนี้ นักลงทุนต่างมองข้ามประเด็นผลการดำเนินงานที่อ่อนแอและไม่น่าตื่นเต้นของ BH และ BDMS ไปแล้ว ด้วยจำนวน 70% ของประชากรไทยที่คาดว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนภายในสิ้นปี 2564 เราเชื่อว่าผู้ป่วยต่างชาติน่าจะกลับมาอย่างมีนัยสำคัญใน 2H65 จึงคาดว่า BH และ BDMS จะฟื้นตัวเต็มที่สู่ระดับก่อนโควิด (ปี 63) ในปี 66

“เราเลือก BH (WACC 6.3% เติบโต 2%) และ BDMS (WACC 6.3% เติบโต 3%) เป็นหุ้นเด่นของเรา เนื่องจากเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ 2H65 เป็นต้นไป BDMS ซื้อขายที่ 32.6x P / E ปี 66 ที่ 32.6 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 39.7 เท่า ในขณะที่ BH ซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่ 26.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 35.9 เท่า ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ การฉีดวัคซีนในประเทศที่ช้า แม้ว่าจะเร่งแล้ว ซึ่งอาจทำให้ปริมาณผู้ป่วยลดลงและทำให้การกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติช้าลง”บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งระบุ