SHR ชูมัลดีฟส์เด่นหนุนรายได้โต มั่นใจโรงแรมอังกฤษครึ่งปีหลังฉลุย

HoonSmart.com>> “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ในเครือสิงห์ เอสเตท เผยโรงแรมในมัลดีฟส์ผลงานโดดเด่นต่อเนื่อง ทั้งเริ่มรับรับรู้รายได้โรงแรมสหราชอาณาจักรบางส่วนและคาดดีขึ้นในครึ่งปีหลัง เตรียมขายโรงแรมเพิ่ม 4-5 แห่ง นำเงินพัฒนาเพิ่มศักยภาพแข่งขัน ด้านผลงานไตรมาส 1/64 รายได้ 544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากไตรมาสก่อน ผลปรับกลยุทธ์จัดพอร์ตสร้างเสถียรภาพธุรกิจ ผ่านการสร้างสมดุลรายได้ และกระจายฐานลูกค้า รองรับโอกาสฟื้นตัวหลังวิกฤติโควิด 19

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ในเครือของสิงห์ เอสเตท เปิดเผยรายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2564 เติบโตต่อเนื่องสู่ 544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% จากไตรมาสที่ 4 ปี 2563 จากผลการดำเนินการที่โดดเด่นของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ และการรับรู้รายได้ของโรงแรมในสหราชอาณาจักรบางส่วน สะท้อนกลยุทธ์จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง

สำหรับโรงแรมในประเทศไทย SHR ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการปรับแผนการตลาดครั้งใหญ่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยซึ่งที่ผ่านมามิใช่ฐานลูกค้าหลัก เสริมทัพด้วยการรีแบรนด์ Outrigger Laguna Phuket Beach Resort และโรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท เป็นโรงแรมทราย “SAii” สองแห่งแรกในประเทศไทย ได้แก่ โรงแรมทราย ลากูน่าภูเก็ต และโรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ โดยเน้นช่องทางเว็บไซต์และแพลตฟอร์มการจองห้องพักใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในและการจัดการรายได้

“เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่รีสอร์ท 2 แห่งแรกแบรนด์ SAii ได้รับการตอบรับอย่างดี นั่นหมายความถึง แบรนด์นี้ได้เริ่มเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวไทยแล้ว เราขอขอบคุณอย่างสูงสำหรับการสนับสนุนและคำชื่นชมต่อ 2 รีสอร์ทแห่งใหม่ รวมไปถึงความนิยมของ ทราย ลากูน มัลดีฟส์ ทำให้เรามีความมั่นใจอย่างมากต่อการเติบโตในอนาคต เราหวังว่าเมื่อเปิดประเทศอีกครั้ง นักเดินทางจากต่างประเทศจำนวนมากขึ้นจะได้สัมผัสกับการต้อนรับแบบไทยที่อบอุ่นที่ SAii นอกจากนั้น เรากำลังมองหาโอกาสในการขยายไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากทั่วโลกอีกด้วย”นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) กล่าว

ในเดือนเม.ย.2564 SHR ได้บรรลุข้อตกลงการขายโรงแรม Mercure Newbury Elcot Park ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นโรงแรมขนาด 73 ห้อง คิดเป็นมูลค่ารวม 4.25 ล้านปอนด์ (หรือเทียบเท่า 182 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัทยังพิจารณาที่จะขายโรงแรมในสหราชอาณาจักรอีกประมาณ 4-5 แห่ง โดยเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวจะนำไปลงทุนพัฒนาปรับปรุงโรงแรมชั้นนำของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และต่อยอดประสิทธิภาพในการทำกำไรของพอร์ตโฟลิโอในสหราชอาณาจักร โดยหวังดัน EBITDA ให้ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดที่เคยทำได้ที่ 18 ล้านปอนด์ หรือเทียบเท่า 720 ล้านบาท

ส่วนผลประกอบการในปีนี้ของโรงแรมในสหราชอาณาจักร บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าโรงแรมในกลุ่มนี้จะมีรายได้และกำไรจากการดำเนินการเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากความคืบหน้าของแผนการฉีดวัคซีนของคนในสหราชอาณาจักรและยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการผ่อนปรนข้อจำกัดในการเดินทางและการใช้ชีวิตของรัฐบาลอังกฤษที่ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อโรงแรมในพอร์ตนี้ต้อนรับฤดูกาลการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3-4 นี้อย่างแน่นอน

“ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ให้แต่ละโรงแรมปรับกลยุทธ์หลายด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 และมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ “เรายังเชื่อมั่นว่าในปี 2564 เมื่อสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด19 ผ่อนคลาย เเละมีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวเเละธุรกิจโรงแรมตามลำดับ SHR มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเดินหน้าธุรกิจ ควบคู่การใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานบริการด้านสุขอนามัยที่เข้มข้น” นายเดิร์ก กล่าว