HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง”ดีเกินคาด ไตรมาส 1/64 ฟาดกำไร 2,134.73 ล้านบาท รายได้นิวไฮ 27,253 ล้านบาท โต 12% ไตรมาส 2 ยังไปได้สวย ปิดดีลซื้อเวียดนามกลางปี ขยายกำลังการผลิตทั้งไทย-ตปท. คาดปีนี้กวาดรายได้ 1 แสนล้านบาท คุมมาร์จิ้น 20% มีเงินลงทุน 9 พันล้านบาท หวังซื้อกิจการเพิ่ม ปี 65 รับรู้การลงทุนเต็มปี เพิ่มรายได้อีก 1 หมื่นล้านบาท นักลงทุนไล่ซื้อหุ้น ราคา all time high ปิด 52.25 บาท บล.โนมูระพัฒนสิน ปรับเป้าขึ้นพรวดเดียวเป็น 60 บาท
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัททำตามสัญญญาที่ให้ไว้สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนต.ค. 2563 โดยไตรมาสแรกของปี 2564 มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 27,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส(นิวไฮ) และมีกำไรสุทธิ 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 5,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% ถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
การเติบโตก้าวกระโดดตอกย้ำโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพ จาก 3 กลยุทธ์ คือ 1.การซื้อกิจการและพันธมิตรขยายตลาดไปยุโรป และอเมริกาเหนือ 2.เพิ่มศักยภาพของบริษัท ขยายกำลังการผลิตและ 3. พัฒนานวัตกรรมหลากหลายและสม่ำเสมอ ออกสินค้าใหม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่นบรรจุภัณฑ์ ช่วยเพิ่มความสดของผัก-ผลไม้ จำกัดกลิ่น
“บริษัทเน้นการขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในอาเซียน ทำให้สัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 51% ส่วนประเทศไทยลดลงเป็น 49% เป็นครั้งแรก ซึ่งสะท้อนทิศทางธุรกิจที่เน้นฐานลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น และเป็นการกระจายความเสี่ยง ช่วยหนุนให้รายได้ปีนี้โตตามเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท “นายวิชาญกล่าว
นอกจากนี้ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องเน้นไปที่ธุรกิจปลายน้ำ ดีลการเข้าซื้อหุ้น 70% ใน Duy Tan ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกแปรรูปในเวียดนาม มั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2564 ปัจจุบันบริษัทยังมีวงเงินลงทุนเหลือ 9,000 ล้านบาท นอกจากรองรับในการปิดดีล Duy Tan แล้ว ยังมองโอกาสในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆในอาเซียนเพิ่มเติม
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีการขยายกำลังการผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เช่นโรงงานในอินโดนีเซีย ได้ขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษเพิ่มอีก 400,000 ตัน/ปี และเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ไปแล้วในช่วงเดือนเม.ย.นี้ เพิ่มรายได้ในช่วงไตรมาส 2 ส่วนโรงงานในฟิลิปินส์ จะเริ่มเดินเครื่องขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษเพิ่มอีก 220,000 ตัน/ปีในไตรมาส 4 ใกล้เคียงกับโรงงานในไทยจะเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นอีก 53 ล้านตารางเมตร/ปี ซึ่งจะสร้างรายได้เข้ามาเต็มปีในปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ถือเป็นปัจจัยบวก ทำให้กลุ่มลูกค้าท่องเที่ยวกลับมา ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์เป็นจำนวนมากรองจากกลุ่มลูกค้า Consumer ส่วนต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมัน เยื่อกระดาษ เม็ดพลาสติก และค่าระวางเรือ บริษัทได้ปรับตัว โดยการควบคุมค่าใช้จ่าย และปรับเพิ่มราคาสินค้าตามกลไกตลาด เพิ่มกำลังการผลิตให้มากที่สุด เกิดการประหยัดต่อขนาด ขายในแต่ละประเทศ ลดการส่งออก รักษามาร์จิ้นที่ทรงตัวอยู่ได้ในระดับ 20% ทำให้มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี
ด้านนายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง กล่าวว่า บริษัทมีงบการเงินแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดในมือ 3.1หมื่นล้านบาท เติบคตได้อีก 2-3 ปี หนี้สินอยู่ในระดับ 4.6 หมื่นล้านบาท ต้นทุนการเงินแข่งขันได้ ระดับ D/E ต่ำมาก 0.6 เท่า ยังไม่มีอะไรน่ากังวล บริษัทออกหุ้นกู้ครั้งแรก ประสบความสำเร็จมาก อายุ 3 ปี 8 เดือน ดอกเบี้ยต่ำ 2.65%ต่อปี
บล.โนมูระ พัฒนสิน รายงานว่า ราคาหุ้น SCGP ทำ All time high รับผลประกอบการไตรมาส 1/2564 ที่ดีกว่าคาด 20% สะท้อนแนวโน้มเชิงบวก และทำให้ประมาณการของตลาดมี Upside Risk โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” นักวิเคราะห์พื้นฐานได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นสู่ 60 บาทจากเดิม 53 บาท เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวที่ดีของความต้องการบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการควบคุมอัตรากำไรได้ดี แม้ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นก็ตาม
“งบ SCGP ที่ดีกว่าคาดจะหนุน SCC เช่นเดียวกัน แนะนำเก็งกำไร SCC” บล.โนมูระ พัฒนสินระบุ
ก่อนหน้านี้ บล.บัวหลวงแนะนำ”ซื้อ SCGP” ราคาเป้าหมาย 50 บาท คาดกำไรสุทธิ 1,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 4 แต่ลดลง 23% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรหลักทำได้ 1,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาส 4 แต่ลดลง 56%
ส่วนบล.เอเซียพลัสแนะนำถือ หุ้นเต็มมูลค่า 47 บาท แนะไปลงทุนใน SCC แทน มูลค่า 450 บาท พัฒนาการของกำไรจะเด่นชัดในครึ่งปีหลัง