HoonSmart.com>> “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ในเครือ “สิงห์ เอสเตท” ทุ่มงบกว่า 564 ล้านบาท ซื้อหุ้นทั้งหมด “FS JV” ครองกิจการโรงแรม 26 แห่งในสหราชอาณาจักร เตรียมรองรับศักยภาพการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในยุโรป หวังรายได้เติบโตปีละ 2 – 3 พันล้านบาทหลังสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทเรือธงในการประกอบธุรกิจโรงแรมของสิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้ S Hotels and Resorts (UK) Limited (SHR UK) บริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อม 100% เข้าซื้อหุ้น ของ FS JV Co., Ltd. (FS JV) จำนวน 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 ปอนด์ หรือ คิดเป็น 50% ของทุนที่ชำระแล้ว จากผู้ร่วมทุนเดิม FICO Holding (UK) Limited (FICO UK) ทำให้ถือหุ้นทั้งหมด 100% และFS JV เป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ใช้มูลค่าเงินลงทุน 13.75 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 564.49 ล้านบาท
สำหรับ FS JV ประกอบธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวนทั้งหมด 26 แห่ง ประกอบด้วยห้องพักรวม 2,886 ห้อง ภายใต้แฟรนไชส์โรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกในแบรนด์ Mercure เสริมทัพด้วยการแต่งตั้งบริษัทรับบริหารโรงแรมชั้นนำอย่าง Interstate Hotels & Resorts มาเป็นผู้บริหารจัดการโรงแรมตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2563 โดย Interstate มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการโรงแรมสำหรับแบรนด์แฟรนไชส์ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสหราชอาณาจักรและยุโรป
นายเดิร์ก กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ของ SHR ในการหาโอกาสในการลงทุนที่มีความน่าดึงดูดและเพื่อเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวในการบริหารจัดการกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณา จักรทั้ง 26 โรงแรมของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ โดยการลงทุนครั้งนี้มีความสมเหตุสมผลหลายประการ คือ ประการแรกเป็นการเลือกลงทุนในทรัพย์สินที่เรารู้จักเป็นอย่างดี มีความเข้าใจตลาดและความต้องการของผู้บริโภค จุดเด่นของพอร์ตโฟลิโอนี้ คือการกระจายตัวของโรงแรมต่างๆ ตามเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่องเที่ยวในสหราชอาณาจักร ซึ่งรองรับนักท่องเที่ยวจากในประเทศและในทวีปยุโรปกว่าร้อยละ 90
ประการที่ 2 บริษัทเล็งเห็นศักยภาพในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศและระหว่างภูมิภาคของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการกระจายวัคซีนให้กับประชากรเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ผนวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรและยุโรปที่ปรับอาจตัวดีขึ้นภายหลัง Brexit มีความชัดเจน และประการสุดท้ายคือ การลงทุนนี้เป็นการเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในทรัพย์สินที่ช่วยสร้างสมดุลของรายได้และกำไรให้แก่บริษัทฯ และลดผลกระทบด้านฤดูกาล (seasonal effect) เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทฯ มีเสถียรภาพในทุกไตรมาสจากอานิสงส์ของฤดูกาลท่องเที่ยว (high season) ของตลาดยุโรปในระหว่างไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งสมดุลกับทรัพย์สินของบริษัทส่วนใหญ่ในประเทศไทยและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ที่มีฤดูกาลท่องเที่ยวโดยทั่วไปในไตรมาส 1 และไตรมาส 4
นายเดิร์ก กล่าวว่า นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SHR จากการรับรู้รายได้ภายหลังเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในทรัพย์สินกลุ่มนี้ โดยบริษัทฯ คาดหวังว่าจะสามารถผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นปีละ 2 – 3 พันล้านบาท หากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาเป็นปกติ นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ ยังมองเห็นโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพของพอร์ทโฟลิโอนี้ให้มีความเหมาะสมและต่อยอดสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้น
“ถึงแม้จะมีความท้าทายอย่างมากมายในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2564 นี้ แต่ SHR ยังคงเดินหน้าในการแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ผสานกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานโรงแรมที่ SHR ดำเนินการอยู่ไม่ว่าจะเป็นการบริหารต้นทุนผ่าน Hotel Operating Model และการเพิ่มสัดส่วนโรงแรมที่บริษัทฯบริหารจัดการเอง รวมถึงการสร้างแบรนด์ของบริษัทฯ เพื่อธุรกิจรับบริหารจัดการโรงแรมในอนาคต “บริษัทฯ ได้ใช้พลังงานและทรัพยากรที่มีอยู่ ทุ่มเทกับการสร้างธุรกิจหรือหาช่องทางการทำธุรกิจเพื่อรองรับวิถีการท่องเที่ยวแบบใหม่ ผนวกกับพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทั้งในเชิงบุคลากรที่มีคุณภาพ ทำเลที่ตั้งของโรงแรมของบริษัทฯ ที่เป็นสุดยอดจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว โครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความเชี่ยวชาญของเรา เราจะผ่านช่วงเวลาท้าทายนี้ และเดินหน้าสร้างความสำเร็จบนวิถีการท่องเที่ยวแบบใหม่ได้” – นาย เดิร์ก กล่าว