HoonSmart.com>> “เมืองไทย แคปปิตอล” โชว์กำไรปี 63 เติบโต 23% แตะ 5,214 ล้านบาท กวาดรายได้ 14,733 ล้านบาท เพิ่ม 16% บอร์ดเคาะจ่ายปันผลอัตรา 0.37 บาท ขึ้น XD 29 เม.ย.64 ตั้งเป้าปี 64 ปล่อยสินเชื่อเติบโต 20-25% เปิดสาขาเพิ่ม 600 สาขา พร้อมเพิ่มทุน “เมืองไทย ลิสซิ่ง” วงเงิน 500 ล้านบาท เดินหน้าธุรกิจ
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2563 กำไรสุทธิ 5,213.92 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.46 บาท เพิ่มขึ้น 23.06% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 4,237.47 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.00 บาท
บริษัทมีรายได้รวม 14,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 2,045 ล้านบาท คิดเป็น 16.12% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารมีจำนวน 6,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า 830 ล้านบาท หรือ 15.62% โดยค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น เป็นค่าเสื่อมราคาจากสิทธิ์การใช้สินทรัพย์ตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 และเงินเดือนพนักงาน จากการขยายสาขาและบุคลากรประจำสาขา ณ สิ้นปี 2563 มีสาขารวม 4,884 สาขา เพิ่มขึ้น 777 สาขาจากสิ้นปี 2562
นอกจากนี้มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ) สำหรับปี 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 291 ล้านบาท ส่วนอัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 1.06% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 1.03%
คณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.37 บาท รวมเป็นเงิน 784.40 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา 15.01% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ จากผลการดำเนินงานปี 2563 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 30 เม.ย.2564 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พ.ค.2564 นอกจากนี้ให้เพิ่มวงเงินออกและเสนอขายหุ้นกู้ 15,000 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 60,000 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 75,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน หุ้นกู้อายุไม่เกิน 5 ปี ซึ่งจะพิจารณาจากสภาวะตลาดและความจำเป็นในการใช้เงิน
นอกจากนี้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จากเดิม 500 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่ 20-25% โดยเตรียมเปิดเพิ่มอีก 600 สาขา ซึ่งคาดว่าจะครบ 5,400 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อรองรับกลุ่มคนที่มีความต้องการสินเชื่อ แต่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสินเชื่อของระบบสถาบันการเงิน รวมถึงกลุ่มคนที่ยังพึ่งพาสินเชื่อนอกระบบ โดยวางงบลงทุนสำหรับการขยายสาขาไว้ที่ 300 ล้านบาท
ประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาขอรับบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ บางส่วนต้องการที่จะซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ จากฐานลูกค้าที่มีกว่า 2 ล้านคัน และช่วยลดความเสี่ยงการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อกับบริษัทฯ มาอย่างต่อเนื่อง
“ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2563 ออกมาได้เป็นที่น่าพอใจ แม้ส่วนหนึ่งจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ยอดปล่อยสินเชื่อของเรายังคงเติบโตได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้รายได้และกำไรของเรายังคงเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอย่างนี้ นับตั้งแต่ที่เราเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ ปี 2557 เพราะเรามีทีมงานที่มีคุณภาพ และให้ความสำคัญกับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่มีความรัดกุม รวมถึงการติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ตัวเลขเอ็นพีแอลอยู่ในระดับต่ำกว่าอุตสาหกรรม อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ทำให้ลูกค้าไว้วางใจ และเข้าใช้บริการกับเรา”นายชูชาติ กล่าว
นายชูชาติ กล่าวต่อว่า ไม่กังวลเรื่องของการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถมากนัก เนื่องจากตลาดมีขนาดใหญ่ และมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ 2 ล้านคัน เทียบกับรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมีกว่า 21 ล้านคันทั่วประเทศ และมีรถที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นในแต่ละปีต่อเนื่อง ทำให้พอร์ตสินเชื่อยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่ทยอยเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับแนวคิดการทำตลาด และการขยายฐานลูกค้าของแต่ละบริษัท