HoonSmart.com>> “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิ 1,686 ล้านบาท ลดลง 31.45% รายได้จากการดำเนินงานลด 14.5%
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563/64 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2563 กำไรสุทธิ 1,686.05 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.128 บาท ลดลง 31.45% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,459.60 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.191 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2563/64 กำไรสุทธิ 2,894.28 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.22 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 4,630.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.372 บาท
ไตรมาส 3 ปี 2563/64 มีรายได้รวมจากการดำเนินงานต่อเนื่อง จำนวน 11,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% หรือ 1,434 ล้านบาท จาก 10,513 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2562/63 โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไรจากการขายที่ดิน จำนวน 1,979 ล้านบาท จากการขายที่ดินที่ธนาซิตี้และกำไรจากการขายและปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน จำนวน 146 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมถูกลดทอนบางส่วนด้วยการลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา จำนวน 740 ล้านบาท จากการบันทึกรายได้จากการให้บริการติดตั้งงานระบบและการจัดหารถไฟฟ้าขบวนใหม่สำหรับโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่ลดลง
บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 8,733 ล้านบาท ลดลง 14.5% หรือ 1,483 ล้านบาท จากปีก่อน รายได้จากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ รวมจำนวน 6.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2563/64 รายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง จำนวน 1,334 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 41.6% หรือ 392 ล้านบาทจากปีก่อน และกำไรจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) จำนวน 2,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
32.8% หรือ 660 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลง 28.2% จากปีก่อน
ด้านต้นทุนรวมและค่าใช้จ่ายรวมจากการดำเนินงานต่อเนื่องจำนวน 7,773 ล้านบาท ลดลง 748 ล้านบาท หรือ 8.8% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ต้นทุนที่เกี่ยวกับการให้บริการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้างและจัดหารถไฟฟ้าโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่ลดล
ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วม จำนวน 639 ล้านบาท (เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งกำไร จำนวน 1,546 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2562/63) การเปลี่ยนแปลง จำนวน 2,185 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไร/(ขาดทุน) จากเงินลงทุนในยูซิตี้จำนวน 2,568 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในยูซิตี้จำนวน 1,289 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2563/64 (เทียบกับส่วนแบ่งกำไร จำนวน 1,279 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2562/63) ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์โดยยูซิตี้จำนวน 1,429 ล้านบาท และไม่มีการบันทึกกำไรจากการที่ยูซิตี้ขายหมอชิตแลนด์ซึ่งถูกบันทึกไปแล้วในไตรมาส 3 ปี 2562/63 ซึ่งการลดลงบางส่วนถูกชดเชยด้วย
นอกจากนี้กำไรจากการที่ยูซิตี้จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัทร่วมทุนจำนวน 9 บริษัท ให้แก่แสนสิริในเดือนพ.ย.2563 อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมบางส่วนถูกชดเชยด้วยส่วนแบ่งกำไรจากเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ที่เพิ่มขึ้น จากการบันทึกกำไรพิเศษจากการ IPO ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส โดยวีจีไอ จำนวน 513 ล้านบาทในไตรมาสนี้
ด้านต้นทุนทางการเงิน จำนวน 655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.0% หรือ 109 ล้านบาท จากปีก่อน จากดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง
อย่างไรก็ตามท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความท้าทายทางเศรษฐกิจต่างๆ บีทีเอส กรุ๊ป สามารถสร้างกำไรสุทธิจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำหลังหักภาษี (หลังหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) จำนวน 1,356 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 80.6% จากไตรมาสก่อน
อีกทั้งบริษัทได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนยอดเยี่ยมในระดับ Gold Class เพียงผู้เดียวในหมวดอุตสาหกรรมคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
จาก S&P Global Sustainability Yearbook 2021 (อันดับ 1 จาก 256 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน)