HoonSmart.com>>ปรากฎการณ์ GameStop จะยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะได้ลุกลามไปสู่หุ้นตัวอื่นๆ และกระแสรายย่อยรวมพลังสู้กับกองทุนเฮดจ์ฟันด์เริ่มขยายวงออกนอกประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ถูกปลุกขึ้นในออสเตรเลีย มาเลเซีย และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกหลายประเทศ สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก หุ้นเอเชียรวมถึงหุ้นไทยตกเป็นเป้าถูกขายออกมา เพื่อนำเงินไปโปะการขาดทุนมหาศาลในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นักลงทุนพร้อมรับมือแล้วหรือยัง
GameStop เป็นร้านขายเครื่องเล่นเกมส์ และเกมส์ ชื่อดังในสหรัฐอเมริกา มีสาขาจำนวน 5,509 สาขา กระจายอยู่ในหลายประเทศ เมื่อปี 2558 ราคาหุ้นเคยขึ้นไปบริเวณ 45 เหรียญสหรัฐ/หุ้น ก่อนจะไหลลงมาเหลือเพียง 4 เหรียญเมื่อกลางปี 2563 เพราะพฤติกรรมของคนเล่นเกมส์เปลี่ยนไป โดยหันไปซื้อเครื่องเล่นเกมส์ และเกมส์ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น แต่จู่ๆราคาหุ้นกลับขึ้นสูงเรื่อยๆ มาตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา เมื่อ ไรอัน โคเฮน (Ryan Cohen) ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Chewy ทำธุรกิจขายอาหารสัตว์ทางช่องทางออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อหุ้นจนมีอยู่ในมือมากกว่า 10% เพราะเชื่อว่า GameStop ยังมีอนาคตอยู่ หากปรับตัวและมุ่งหน้าสู่การขายช่องทางออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานบริษัทคนใหม่ ส่งผลให้หุ้นดีดขึ้นเร็วและแรงมาก เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ราคาอยู่ที่ 35.5 เหรียญ
ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ กองทุนบริหารความเสี่ยงหรือเฮดจ์ฟันด์ และนักวิเคราะห์กลับมองว่าราคาหุ้นขึ้นมาสูงเกินพื้นฐาน จึงเห็นโอกาสในการเก็งกำไร ขายหุ้นล่วงหน้า หรือ Short Sell จำนวนมาก รอช้อนกลับในราคาต่ำเพื่อส่งมอบ แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีพลังของสื่อออนไลน์ นักลงทุนรายย่อยใน Wall Street Bets ซึ่งเป็นบอร์ดย่อยใน Reddit ซื้อขายหุ้นผ่านแอพนายหน้าออนไลน์เช่น Robinhood.com ลุกขึ้นมาฮึดสู้ ไม่ขายหุ้นออกมา แต่ราคาขึ้นต่อไม่ได้ หลังจาก Robinhood ออกเกณฑ์ห้ามซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ในที่สุดก็ต้องยกเลิกการบล็อกหุ้น อนุญาตให้ซื้อได้ในวงจำกัด ทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้น และยังลามถึงราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเช่น Game Stop, BlackBerry Ltd และ AMC Corp ด้วย
ในที่สุดนักลงทุนรายใหญ่และเฮดจ์ฟันด์ ต้องกัดฟันซื้อหุ้น Game Stop คืน เพื่อส่งมอบหุ้นที่ขายล่วงหน้า หลังจากราคาถีบตัวขึ้นหลายร้อยเปอร์เซนต์ ณ วันที่ 25 ม.ค.64 อยู่ที่ 76.79 เหรียญ วันรุ่งขึ้นขึ้นมาอยู่ที่ 147.98 เหรียญ และ 27 ม.ค. กระโดดมาที่ 347.51 เหรียญ สร้างความเสียหายมหาศาล ประเมินมูลค่าอาจจะสูงกว่า 5 แสนล้านบาท จึงจำเป็นต้องขายหุ้นตัวอื่นในพอร์ตออกมา กระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก นำโดยสหรัฐ ยุโรปและเอเชียอ่วมกันถ้วนหน้า เช่น ตลาดหุ้นเกาหลี เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ร่วงลง 3.03% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei 225 Index ติดลบ 1.89% ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวม 3.03% ดัชนีไหลลงต่ำกว่า 1,500 จุด โดยเฉพาะวันที่ 27-29 ม.ค. เผชิญแรงขายของนักลงทุนต่างชาติถึง 10,471 ล้านบาท
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เริ่มขยายวงกว้างเข้ามาในเอเชีย อาทิ มาเลเซีย และออสเตรเลีย เพราะรายย่อยถูกรายใหญ่เอาเปรียบมานาน กดดันตลาดหุ้นสหรัฐ กระทบต่อเนื่องถึงหุ้นไทย ซึ่งมีโอกาสไหลลงต่ำกว่า 1,400 จุด จากแรงขายพุ่งเป้าหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนีสูง เชื่อว่านักลงทุนสามารถรับมือกับการปรับตัวลงได้ หรือมองเห็นเป็นโอกาสในการซื้อของดีราคาต่ำ
แต่ขอภาวนาว่าการต่อสู้ระหว่างนักลงทุนรายย่อยและเฮดจ์ฟันด์ในศึก GameStop อย่าลุกลามจนตีฟองสบู่ในตลาดขึ้นมามากเกินไป เพราะหากฟองสบู่แตกเมื่อไร จะสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างหนัก ซึ่งคงไม่มีใครต้องการเห็นเหตุการณนี้เกิดขึ้นในภาวะโลกอ่อนแอมากในขณะนี้