HoonSmart.com>>ธนาคารกสิกรไทยจัดพอร์ต แนะกลยุทธ์การลงทุนในปี 64 เน้นหุ้นไทย-ต่างประเทศ หุ้นกู้เอกชน ส่วนกองทุนเลือกนโยบายลงทุนหลากหลาย ไม่กระจุกธุรกิจเดียวกัน บล.โนมูระพัฒนสิน เตือนหุ้นพักฐาน เล่น 7 ธีมทยอยตั้งรับซื้อ IMF ลดเป้าเศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 2.7% จาก 4% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินหนี้เสียแบงก์ปี 63 เพิ่ม 12.5% แตะ 5.23 แสนล้านบาท เท่ากับ 3.16% ของสินเชื่อ ปีนี้ขึ้นต่อเป็น 3.53% ทุบหุ้นธนาคารร่วง ผสมแรงทิ้งเดลต้าฯ ทุบดัชนีหลุด 1,500 จุด ติดลบ 14.70 จุด ต่างชาติทิ้งหนัก 4,864 ล้านบาท สถาบันขายตาม 1,988.86 ล้านบาท รายย่อยช้อน 6,877 ล้านบาท
นาย จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย มองว่าปี 2564 ตลาดการลงทุนจะยังคงสดใส แม้จะมีความท้าทายมากขึ้น เพราะราคาหุ้นหลายกลุ่มเพิ่มขึ้นมาก ทาง Lombard Odier และธนาคารกสิกรไทยยังแนะนำให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง ยึดหลักกระจายความเสี่ยงและการบริหารพอร์ตเชิงรุก โดยมีมุมมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและหุ้นกู้เอกชน แต่ก็ต้องระมัดระวังในการเลือกใช้กลยุทธ์
สำหรับพอร์ต K-Alpha ที่แนะนำลูกค้า ยังคงหลักการของพอร์ตหลัก + พอร์ตเสริม โดยให้ความสำคัญและน้ำหนักที่มากขึ้นกับกองทุนในกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะสร้างความเติบโตให้กับมูลค่าพอร์ตการลงทุน โดยแบ่งเป็น 5 ธีมได้แก่
Winner of new economy หรือ ผู้ชนะในเศรษฐกิจใหม่ อย่างเช่นกลุ่มเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ
Health is Wealth หรือการรักษาสุขภาพคือความมั่งคั่งใหม่ ผ่านการลงทุนกลุ่ม Healthcare และนวัตกรรมทางการแพทย์ทั่วโลก
Save the World หรือเทรนด์รักษ์โลก ที่ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด
The Rise of China and Asia หรือ สินทรัพย์ในจีนและภูมิภาคเอเชีย ที่จะเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
Laggard and Cyclical Upturn เช่น หุ้นในภูมิภาคหรือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบแรงในปีที่แล้ว และราคายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมทั้งกลุ่มที่ผลประกอบการจะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ส่วนการลงทุนในกองทุนรวม ควรกระจายความเสี่ยงจากนโยบายลงทุนในหุ้นหลายกลุ่มและหลากหลายบริษัท มีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญคัดสรร วิเคราะห์ ติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อีกทั้งยังช่วยปรับพอร์ตการลงทุนตามธีมที่สอดคล้อง เพราะการลงทุนในธีมใหม่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะ
“ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามาก เช่นหุ้นไทยบางบริษัทขยับขึ้นมา 60-70% แพงเกินไปหรือไม่ ตอบไม่ได้ เพราะความแพงจะต้องพิจารณาจากระดับ P/E ประกอบด้วยเช่น หุ้นจีนราคาขึ้นมามาก แต่ P/E ไม่เพิ่มตาม สบายใจได้ เพราะมีความสามารถในการทำกำไรสูงตาม ส่วนหุ้นราคาถูกมากในช่วงนี้ เช่น ธุรกิจโรงแรม จะต้องถือได้ รอเศรษฐกิจกลับมา ต้องพิจารณาเรื่องกระแสเงินสด และธุรกิจจะฟื้นตามการท่องเที่ยวหรือไม่ ”
นอกจากนี้หลักการลงทุนไม่ควรพิจารณาเรื่องผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเพียงอย่างเดียว ยังต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงประกอบด้วย โดยในปี 2563 ธนาคารกสิกรไทยให้ผลตอบแทนถึง 11.4% ภายใต้ความเสี่ยง (ค่าความผันผวน) เพียง 7.7% นับว่าความเสี่ยงน้อยมากเมื่อเทียบกับหุ้นโลกภายใต้วิกฤตเดียวกัน แนวโน้มในปี 2564 ยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุน และจะพยายามสร้างผลงานให้พอร์ตการลงทุนของลูกค้าได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเรื่องฟองสบู่ในหุ้นสหรัฐ เกิดจากผลสำรวจของนักลงทุน ซึ่งรู้สึกว่าใกล้เคียงที่จะเป็นฟองสบู่ แต่ไม่ได้เกิดจากความเห็นของนักวิเคราะห์ และนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะไม่มีผลต่อนักลงทุนไทยโดยตรง แต่มีการขายกองทุนที่มีหุ้นเทคมากเท่านั้น
บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน มองหุ้นไทยยังอยู่ช่วงปรับฐานตามตลาดภูมิภาคต่อเนื่อง หลังมูลค่าสูง ระดับ PER Forward 2 ปี ถัดไปของ MSCI ASIA ex Japan ล่าสุด 15.8 เท่าสูงกว่าการปรับฐานรอบก่อนที่ 15.2 เท่า สะท้อนตลาดเอเชียในระยะสั้นเล่นนำพื้นฐานล่วงหน้ามากพอสมควร และ Dollar Index ล่าสุดดีดขึ้น 90.3 จุด ทดสอบต้านสำคัญ 91 จุด กรณีผ่านอาจแข็งค่าแตะกรอบ 93-95 จุด จะเป็นแรงกดดันเงินไหลออกจากเอเชียในระยะสั้น
ด้านนักลงทุนต่างชาติขายตลาดหุ้น TIPs เป็นเวลา 12 วันติดต่อกันรวม 208 ล้านเหรียญฯ และเริ่มสลับมาขายใน North Asia 2 วันติดรวม -1974 ล้านเหรียญฯ ส่งผลตลาด TIPs ปรับฐานแบบ Sideway Down มา 5-8 วันทำการ ขณะที่ North Asia เริ่มเห็นสัญญาณการปรับฐาน 2-3 วัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเน้นตั้งรับแบบ แบ่งไม้ซื้อ มากกว่าไล่ราคา แนวรับ 1,503/1,495/1,480/1,460 จุด น้ำหนักการลงทุนเด่นๆ ยังเน้นหุ้นที่เติบโตจากภายนอก ยังเด่นกว่าเติบโตภายใน ส่วนธีมการลงทุนช่วงนี้ เน้นตั้งรับ มี 7 ธีม เช่น พลังงานสะอาด EV และแบตเตอรี่แนะนำ GULF, GPSC, EA, BCPG, KCE, HANA, SMT
ตลาดหุ้น วันที่ 27 ม.ค. 2564 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,498.13 จุด -14.70 จุด หรือ -0.97% มูลค่าการซื้อขาย 78,817.59 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติทิ้งแรง 4,864.59 ล้านบาท สถาบันไทยขายตาม 1,988.86 ล้านบาท ด้านนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 6,877.70 ล้านบาท
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นหลุด 1,500 จุด หลังจากมีแรงขายกลุ่มธนาคาร ที่ช่วงก่อนราคาขึ้นมาประมาณ 5-10% จากการตอบรับข่าวเชิงบวกของผลประกอบการไตรมาส 4/63 และหุ้น DELTA ลดลง 9.71% เป็นหุ้นที่กดดันดัชนี แนวโน้มให้แนวรับที่ 1,475-1,480 จุด ในช่วงระยะสั้น เก็งกำไรหุ้นขนาดกลางที่มีกำไรดีในกลุ่มการเงิน ได้แก่ MTC ,AEONTS และCHAYO
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยจากเดิมคาดขยายตัว 4% เหลือ 2.7% ส่วนบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินหนี้เสียระบบธนาคารพาณิชย์ปี 2563 เพิ่มขึ้น 12.5% แตะ 5.23 แสนล้านบาท สัดส่วนกว่า 3.16% ของสินเชื่อรวม หลังโควิดระลอกใหม่ คาดดันยอดหนี้เสียปี 2564 พุ่งต่อเนื่องอยู่ที่ 3.53% ของสินเชื่อรวม ชี้ความเสี่ยงหลักของสถาบันการเงิน