HoonSmart.com>>หุ้นไทยวันแรกของปี 64 พลิกล็อก ดัชนีดิ่ง 23 จุดก่อนเด้งแรงเฉียด 19 จุด นายกฯลั่นไม่ล็อกดาวน์ ต่างชาติโถมเข้าซื้อ 2.2 พันล้านบาท สถาบันตาม 1.7 พันล้านบาท ระยะสั้นผันผวนตามโควิด เน้นปิโตรฯ-ไฟฟ้า เดลต้าฯบวกต่อ 8% บล.เอเซียพลัสแนะหุ้นปันผล AP-DCC-MCS-LH-SCCC-STGT บล.เมย์แบงก์ยก LH-SC-INTUCH-TISCO บล.กสิกรไทยให้ INTUCH-GPSC ด้านบล.ฟินันเซียฯ แนะ 5 กองทุน EGATIF-DIF-HREIT-JASIF และ B-WORK ไม่ได้รับผลกระทบ ผลตอบแทนเกิน 6% ต่อปี
ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 4 ม.ค. 2564 นักลงทุนเทกระจาดตั้งแต่เปิด ดัชนีถลาลงไปต่ำสุดที่ 1,425.48 จุด ทรุดกว่า 23 จุด ก่อนมีแรงไล่ซื้อ โดยเฉพาะช่วงบ่าย ดัชนีปิดที่ 1,468.24 จุด +18.89 จุด หรือ +1.30% มูลค่าการซื้อขายรวม 89,208.19 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,211 ล้านบาทสถาบันไทยซื้อ 1,730 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขาย 3,608.75 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 332.87 ล้านบาท
ทั้งนี้หุ้นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ยังคงบวกต่อ หลังจากเข้า SET 50 วันแรก ราคาปิดที่ 528 บาท เพิ่มขึ้น 42 บาทหรือ 8.64%ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4,883 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นปิดบวก 18.89 จุด ท่ามกลางปัจจัยลบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ แต่นักลงทุนมองผลกระทบแต่ละอุตสาหกรรมต่างกัน และความคาดหวังวัคซีน กลับเข้าซื้อหุ้น แนวโน้มตลาดระยะสั้นผันผวน ส่วนระยะกลางมองบวก จากสภาพคล่องทั่วโลกในระดับสูง ประเมินดัชนีในช่วงวันที่ 1-15 ม.ค.เคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,500 จุด กลยุทธ์เน้นธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด คือกลุ่มปิโตรเคมี แนะนำ PTTGC, IVL และ PTT เก็งกำไรในกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่เข้าสู่ช่วง High Season รวมถึงหุ้น CPF ธุรกิจอาหารของไทยมีศักยภาพที่ดี
ด้านนายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า หุ้นปันผล ได้รับความน่าสนใจในช่วงต้นปี โดยเฉพาะช่วงนี้ เพราะเงินเฟ้อ เดือน พ.ย.63 ที่ติดลบ 0.41% ,อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำที่ระดับ 0.5%, อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 1 ปี ที่ 0.35% และภาวะตลาดผันผวน จากผลกระทบโควิด-19 ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัยในกลุ่มหุ้นที่ปันผลดี
ทั้งนี้หากมองจากอดีตที่ผ่านมา ไม่นับช่วงที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 ในปี 2563 ดัชนี SET High Dividend 30 Index (SETHD) ปรับตัวได้ดีกว่าดัชนี SET Index มาก ในช่วงต้นปีจะได้ผลตอบแทนรวมทั้งกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain) และเงินปันผล จะได้ผลตอบแทนประมาณ 8% ต่อปี ถ้าเก็งกำไรล่วงหน้า 2 เดือน ก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ถ้าใกล้จะขึ้นเครื่อง XD ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะลดลงมา
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลต่อปีมากกว่า 6% ซึ่งแนะนำหุ้นที่จ่ายปันผลครั้งเดียว พื้นฐานดี ให้หุ้น AP คาดจ่ายผลตอบแทน 6% ต่อปี ให้ราคาเหมาะสมที่ 8.35 บาท ส่วนหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี แต่จ่ายมากกว่า 1 ครั้งให้ DCC คาดผลตอบแทน 8% ต่อปี ราคาเหมาะสมที่ 3.15 บาท,MCS คาดจ่าย 8.5% ต่อปี ราคาเหมาะสมที่ 21.9 บาท, LH คาดจ่าย 6.3% ต่อปี ราคาเหมาะสมที่ 9.30 บาท, SCCC คาดจ่าย 6% ต่อปี ราคาเหมาะสมที่ 200 บาท และ STGT ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดจ่ายปันผลสูงถึง 11% ต่อปี ราคาเหมาะสมที่ 130 บาท
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ของทุกๆ ปีจะเป็นช่วงที่ SETHD หรือดัชนีหุ้นปันผลสูง ปรับตัวได้ดีกว่าดัชนีรวม จากสถิติผลตอบแทนของ SETHD ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง พบว่า การถือครองในช่วง 3 เดือนแรกของปี (ม.ค.-มี.ค.) นักลงทุนจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเฉลี่ยมากกว่า 5% (ไม่นับรวมปี 2561 ที่ราคาหุ้นปรับขึ้นผิดปกติ) ขณะที่ผลตอบแทนของ SET Index เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 2% เท่านั้น
กลยุทธ์การเข้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นของการถือครองประมาณ 3 เดือนแรกของปีนี้ โดยหุ้นปันผลเด่น ได้แก่ LH คาดอัตราผลตอบแทน 8% ,SC คาดจ่ายที่ 6% ,INTUCH คาดจ่ายที่ 4-5% และ TISCO จ่ายที่ 5-6% จะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในช่วงแรกของปีนี้
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่ากลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลสูง ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) อาทิ กลุ่มสื่อสาร (ICT) และกลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ INTUCH และ GPSC เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน
บล.ฟินันเซีย ไซรัสวิเคราะห์ว่า วันที่ 4 ม.ค.2563 กลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ (PF&REIT) ราคาปรับตัวลงมากสุดเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มแบงก์ ส่วนใหญ่เป็นการปรับลงของ REIT ที่มีสินทรัพย์เป็นโรงแรม ร้านค้า อาคารสำนักงาน (CPTGF, TLGF, SRIPANWA เป็นต้น) โดยแนะนำ 5 กองที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และให้อัตราผลตอบแทนปันผลมากกว่า 6% ต่อปี ราคาต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ต่อหน่วย( NAV) หรือถ้าสูงกว่า ก็ไม่มาก ได้แก่ EGATIF, DIF, HREIT, JASIF, B-WORK
บล.เอเซียพลัสคาดเศรษฐกิจในปี 2564 เติบโต 4.1% แต่มีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่าคาด หากสถานการณ์โควิด-19 ยืดเยื้อจะกระทบในวงกว้าง คาดไตรมาส 1/2564 จะกลับมาหดตัว1.8%จากช่วงเดียวกันปีก่อนและหดตัวจากไตรมาส 4/2563 โดยประเมินกรณีล็อกดาวน์ทั้งประเทศ คาดกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 0.25%
บล.โนมูระ พัฒนสินแนะกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีภูมิคุ้มกันเข้าพอร์ต โดยลดน้ำหนัก KBANK และ BAM อย่างละ 5% และให้ลงทุนใน DCC 10% เลือก ADVANC ,DCC และ STGT เป็นหุ้นเด่น