สมาคมนักวิเคราะห์ฯประเมินสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ลามเป็นสงครามค่าเงิน แต่เชื่อสถานการณ์จะคลี่คลาย เพราะสหรัฐจะได้รับผลกระทบมากกว่า จากเงินเฟ้อที่จะพุ่งกระฉูด ด้าน ASP หั่นกำไรบริษัทจดทะเบียน หลังเจอผลกระทบสงครามค่าธรรมเนียม กำไรกลุ่มเหล็ก-บันเทิงลด คาดดัชนีฯไม่ถึง 1,800 จุด ขณะที่ SCBS มองสวนคาดดัชนีฯแตะ 1,900 จุด จากปัจจัยหนุนอีอีซี-เลือกตั้งชัดเจน
นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส หรือ ASP เปิดเผยถึง “ทิศทางหุ้นไทยภายใต้สงครามการค้าโลกและสงครามธุรกิจธนาคารไทย” โดยระบุว่า หากสหรัฐและจีนยังทำสงครามการทางการค้า โดยไม่มีการประนีประนอมกัน สงครามทางการค้าจะขยายวงเป็นสงครามค่าเงิน เพราะจีนจะใช้วิธีลดค่าเงินหยวน เพื่อให้ขายสินค้าในตลาดสหรัฐได้ เพราะแม้ว่าจะถูกเก็บภาษีเพิ่ม แต่ราคาสินค้ายังถูกในสายตาผู้บริโภค
นอกจากนี้ หากสหรัฐยังคงเดินหน้าปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนคิดเป็นมูลค่า 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และจีนตอบโต้ด้วยการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐคิดเป็นมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะสหรัฐ เนื่องจากมีบทเรียนมาแล้ว คือ ในช่วงปี 2545 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากจีน 30% ส่งผลให้ราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กในสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ การตกงานเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว
“การทำสงครามการค้ามีส่วนที่ได้ประโยชน์น้อย และอาจนำไปสู่การทำสงครามค่าเงิน แต่ก็ยังเชื่อว่าสถานการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น โดยล่าสุดทางจีนเองก็ลดท่าทีที่แข็งกร้าวลง ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็ตอบรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว โดยดัชนีฯลดลง 6% และราคาหุ้น HANA ซึ่งมีฐานการผลิต 20% ในจีน ราคาลดลง 35% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าราคาลงไปตอบรับไปกับสถานการณ์ไปแล้ว”นางภรณีกล่าว
นางภรณี กล่าวว่า ในส่วนการยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอีแบงก์กิ้ง ประกอบกับการที่ธนาคารบางแห่งจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ IFRS9 ซึ่งต้องเริ่มทำก่อนที่เกณฑ์ใหม่เริ่มใช้จริงในปี 2562 จะมีผลให้กำไรของกลุ่มแบงก์จะลดลง 5.7% ในปีนี้ และลดลง 7% ในปีหน้า ทั้งนี้ กำไรของกลุ่มธนาคารที่ลดลง รวมถึงการปรับลดคาดการณ์กำไรของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น กลุ่มบันเทิง กลุ่มเหล็ก รวมทั้งกลุ่มโรงกลั่น ทาง ASP คาดว่าดัชนีฯปีนี้จะไม่ได้ไม่เกิน 1,800 จุด
“ล่าสุด ASP ได้ปรับลดประมาณการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ว่าจะอยู่ที่ 1.09 ล้านล้านบาท จากในช่วงปลายไตรมาสแรกที่คาดว่าจะมีกำไร 1.12 ล้านล้านบาท หรือลดลง 2.49 หมื่นล้านบาท ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลงจาก 112.39 บาทต่อหุ้น เหลือเพียง 109.86 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 2.3% หากคูณพี/อีที่ 16 เท่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้น่าจะไปไกลไม่เกิน 1,800 จุด ยกเว้นว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ทำให้ดัชนีฯมีอัพไซด์เพิ่มขึ้น”นางภรณีกล่าว
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS กล่าวว่า หากมองไปข้างหน้าก็เชื่อว่าสหรัฐและจีนจะหาทางออกร่วมกันได้ และไม่ต้องทำสงครามทางการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ร้ายแรงและมีผลเสียกับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะสหรัฐที่จะได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐจะสามารถหาสินค้าจากแหล่งอื่นๆมาทดแทนสินค้าจากจีนได้ในระยะเวลาอันสั้น
“เชื่อว่าสุดท้ายแล้วสถานการณ์จะคลี่คลายลงได้ และหากมองที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยไม่รวมความผันผวนของราคาน้ำมัน จะพบว่ากำไรเติบโตปีละ 10% ดังนั้น ถ้ามองไปข้างหน้าอีก 3-6 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับไปสู่ทิศทางขาขึ้นเหมือนเดิม โดยปีนี้เราคาดว่าจะได้เห็นดัชนีฯตลาดหุ้นไทยที่ 1,900 จุด เพราะยังมีปัจจัยบวกอยู่ เช่น การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (อีอีซี) ที่จะสร้าง growth cycle ใหม่ให้ประเทศ และถ้าการเลือกตั้งชัดเจน ดัชนีฯจะปรับเพิ่มขึ้น”นายเกียรติศักดิ์กล่าว
สำหรับผลกระทบของกลุ่มธนาคารจากสงครามลดค่าธรรมเนียมนั้น นายเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า ตนเองไม่เรียกว่าสงคราม แต่เป็นการปรับตัวของธนาคารตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป แต่แน่นอนว่าจะกระทบต่อรายได้ของกลุ่มธนาคาร โดย SCBS คาดว่า รายได้ของธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จะลดลง 7% ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลดลง 5% ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 4% และธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ลดลง 2% แต่ในระยะถัดไปธนาคารจะหาวิธีลดต้นทุน โดยการลดสาขาลง
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ กรรมการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า กล่าวว่า หากชาวสหรัฐได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ก็จะเป็นกดดันให้ผู้นำสหรัฐต้องลดท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีนลง และเชื่อว่าทั้งสหรัฐและจีนจะประนีประนอมกันได้ โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทย แต่ดัชนีฯจะฟื้นกลับมายืนอยู่เหนือ 1,800 จุด เพราะปีนี้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดีที่ระดับ 4%
“ทรัมป์อยู่มาครบ 2 ปีแล้ว การดำเนินนโยบายสุดโต่ง น่าจะได้ผลไม่คุ้ม”นางสาวมยุรีกล่าว
ส่วนผลกระทบจากสงครามค่าธรรมเนียมในธุรกิจธนาคารนั้น ทางหยวนต้ามองว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ของธนาคาร 5-7% ส่วนการลดต้นทุนต่างๆเช่น การปิดสาขาและลดคน ก็มีต้นทุนและต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นธนาคารที่มีความปลอดภัย เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งมีฐานลูกค้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ และหากเป็นธนาคารเล็ก แนะนำให้ลงทุนหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) เพราะมีรายได้หลักจากดอกเบี้ยรับ และเป็นธนาคารที่มีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม