HoonSmart.com>>”ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” ยันไม่มีอะไรสายเกินไป สำหรับการลงทุน หากเข้าหุ้นดีและถูกกลุ่ม ระยะต่อไปจะต้องซื้อธีมที่จะเติบโตไปกับเศรษฐกิจโลก ยาวัคซีนกำลังจะมา แนะกลุ่มท่องเที่ยว บรรจุภัณฑ์ ระบบขนส่งโลจิสติกส์ บล.โนมูระฯเชื่อเงินยังไหลเข้า เพิ่มเป้าแบงก์ใหญ่-เล็ก ซื้อ SCB,KBANK ,BBL บล.บัวหลวงมองหุ้นเดือน ธ.ค.ไม่ร้อนแรงเหมือน พ.ย. ต้องเลือกรายตัว เตือนราคาหุ้นวัฎจักร น้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรฯ ก๊าซ สะท้อนสมมุติฐานด้านบวกไปแล้ว บล.เคทีบีเพิ่มน้ำหนักกลุ่มแบงก์ เชียร์ KBANK, BBL บล.เคจีไอชอบTISCO, KKP, TMB
“ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้หุ้นไทยยังน่าสนใจ แม้ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้วก็ตาม เพราะนักลงทุนต่างประเทศเริ่มเข้ามา มีการโยกเงินจากประเทศที่เริ่มอิ่ม แต่เมื่อราคาขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง จะซื้อหุ้นอะไรดี การลงทุนระยะต่อไปจะต้องซื้อธีมที่จะเติบโตไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า คือท่องเที่ยว บรรจุภัณฑ์ และระบบขนส่งโลจิสติกส์ รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและยาวัคซีนกำลังจะมา
ในช่วงเดือนพ.ย.ทั้งเดือน นักลงทุนต่างประเทศเริ่มเข้ามาซื้อ เพราะหุ้นค่อนข้างถูก และคนมองว่าประธานาธิบดี สหรัฐคนใหม่เป็นมิตรกับต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ปัญหาทางการค้าลดลง มีผลดีต่อบจ.หลายบริษัท หลักๆคือในจีน และเอเชีย เป็นซัพพลายเชนของโลก เวลาปกติ นักลงทุนต่างชาติจะซื้อหุ้นบลูชิพ ขนาดใหญ่ แรกๆ ซื้อหุ้นธนาคาร เพราะราคาครึ่งเท่าของมูลค่าหุ้นทางบัญชี ต่อมาซื้อหุ้นพลังงาน สื่อสาร วมทั้งพลังงานสะอาด สำหรับคนไทยที่ชอบเล่นหุ้นขนาดกลางและเล็กก่อนหน้านี้ ก็เริ่มซื้อหุ้นใหญ่ตาม ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นมาใกล้เคียงกัน
“เรื่องการลงทุน อย่ามองว่าสายเกินไป ไม่มีอะไรที่สายเกินไป หากเข้าหุ้นดีและถูกกลุ่ม แต่ถ้าเข้าผิดกลุ่ม ก็สายเกินไปทั้งนั้น ต่างชาติเข้ามาไล่ซื้อตอนถูก 1,200 จุดขึ้นมา แต่ตอนที่ขายไปมากแถว 1,500-1,600 จุด จนแทบจะไม่มีอะไรจะขายแล้ว ตอนนี้ตลาดตีขึ้นมา คนไทยเริ่มฟื้น กลับมาลงทุนใหม่ “ นายก้องเกียรติกล่าว
สำหรับหุ้นในเดือนธ.ค. ที่จะถึง บล.บัวหลวงมองตลาด เริ่มเลือกตัวเล่นมากขึ้น ไม่ขึ้นร้อนแรงเหมือน พ.ย. โดยราคาหุ้นวัฎจักร น้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรฯ ก๊าซ สะท้อนสมมุติฐานด้านบวกไปแล้ว เช่น PTTEP ราคา 101.50 บาท สะท้อนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ 49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนราคาหุ้น PTTGC, PTTEP, SPRC ขึ้นมาจน เกือบ/เกินมูลค่าพื้นฐานไปแล้ว ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันดิบกรณี Base case คือ 45 เหรียญสหรัฐ และ Best case กรณีดีสุด MS คาดราว 50 เหรียญสหรัฐ ดังนั้นราคาน้ำมันดิบแถว 49 เหรียญ ดูจะสะท้อนความหวังเชิงบวกต่อราคาหุ้นกลุ่มนี้ไปมาก
ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลยุทธ์เลือกลงทุนรายตัว หลังปรับสมมติฐานค่าเงินบาทปีหน้าจาก 31.50 บาท/ดอลลาร์เป็น 30.50 บาท ส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรของ SVI ประมาณ 17%, KCE 11%, HANA 11% และ DELTA 10% โดยประเมินว่า KCE และ HANA จะยังคงรายงานกำไรเติบโตได้ในปี 2564 สำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดค่าเงินอยู่ที่ 29.30 บาท จะมีเพียง KCE ที่รายงานกำไรเติบโตในปีหน้า อิงตาม PEG เฉลี่ยในอดีตสำหรับหุ้นทั้ง 4 ตัว ราคาหุ้นในปัจจุบันนั้นสะท้อนความคาดหวังของกำไรที่เติบโต 70% สำหรับ DELTA, 31% สำหรับ SVI, 45% สำหรับ KCE และ 26% สำหรับ HANA ซึ่งมีเพียง KCE ที่ยังเทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ PEG ในอดีต และมูลค่าสอดคล้องกับการเติบโตของกำไร
บล.โนมูระ พัฒนสิน คาดว่าเงินยังไหลเข้า แนะนำคงพอร์ตหุ้นไทย 35% ลงทุนยาว เพิ่มเป้าแบงก์ใหญ่และเล็ก ซื้อเก็งกำไร SCB เป้าหมาย 97บาท ซื้อ KBANK เป้า 130 บาท และ BBL 147 บาท
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มแบงก์ เป็นมากกว่าตลาด และปรับราคาเป้าหมาย แม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวขึ้น 17% ใน 1 เดือนที่ผ่านมาก็ตาม ชอบ BBL แนะซื้อ เป้า 150 บาท จากความแข็งแกร่งด้านงบดุลและมีความเสี่ยงต่ำ และ KBANK ให้เป้า 130 บาท เพราะเป็นธนาคารที่จะได้ประโยชน์สูงสุดหากวัคซีนใช้ได้เร็ว มีสัดส่วนสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับภาพการท่องเที่ยวสูงที่สุดในกลุ่มฯ
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)ให้น้ำหนักกลุ่มแบงก์เท่าตลาด ชอบธนาคารเล็กอย่าง TISCO, KKP, และ TMB มากกว่า สำหรับหุ้นธนาคารใหญ่ทั้ง 4 ตัว แนะนำเพียงแค่ “ถือ” หลังพิ่มเป้าP/BV เฉลี่ย 0.7 เท่า (จากเดิม 0.5 เท่า) ราคาหุ้น KBANK, SCB เริ่มจำกัด ขณะที่ BBL, KTB ดีกว่า