HoonSmart.com>>หุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงมาก แต่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวผันผวน ล่าสุด ผู้บริหารพบนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการแห่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย โดยบล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมายสูงสุดถึง 32 บาท/หุ้น ตามด้วยบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ให้ราคา 30 บาท ขณะเดียวกันก็มีการปรับลดราคาลงเช่นกัน บล.กรุงศรีปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย “เนื่องจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาในช่วงหลังแพงเกินพื้นฐานไปมากแล้ว และปรับลดราคาเป้าหมายลงอีก 2% เป็น 20.60 บาท แต่ยังคงดีกว่าบล.ทิสโก้ที่ให้ราคาต่ำที่สุด เพียง 15 บาท เท่านั้น
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น จากก่อนหน้านี้ให้เพียง “ถือ” ราคาเป้าหมาย 21 บาท หลังจากเห็นผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเทียบกับไตรมาสที่ 2 และทยอยฟื้นตัว ขณะที่บริษัทพยายามใช้กลยุทธ์การควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ด้านงบดุล คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างราบรื่น และถือว่าฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ด้านบล.เคจีไอ(ประเทศไทย)ยังคงแนะนำ”ซื้อ”ให้ราคาเป้าหมายสูงถึง 32 บาท กลยุทธ์ให้นักลงทุนมองข้ามผลประกอบการที่สะดุดในระยะสั้นและระยะกลาง เนื่องจากไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะยาว ในขณะเดียวกัน ข่าวความคืบหน้าเรื่องการพัฒนาวัคซีนน่าจะทำให้นักลงทุนเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับมูลค่าหุ้นในระยะยาวมากขึ้น
” ได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2563/2564 ลง 42%/88% เพื่อสะท้อนถึงอัตรากำไรที่ต่ำกว่าคาด และธุรกิจโรงแรมจะเริ่มกลับถึงจุดคุ้มทุนในระดับ EBITDA ในไตรมาส 1/2564 จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะถึงในไตรมาส 4/2563 แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะแตะระดับจุดคุ้ม EBITDA แล้วในเดือนก.ย. แต่โมเมนตั้มการเติบโตของ RevPar ในระยะสั้นจะถูกถ่วงจากการระบาดระลอกสองของโควิด-19 ในยุโรป ทำให้ RevPar อ่อนตัวลงเป็น -77% ในเดือนต.ค. จาก -72% ในเดือนก.ย. เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนธุรกิจร้านอาหารถึงจุดคุ้มทุนในระดับกำไรสุทธิแล้วในไตรมาสที่ 3 และมีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง”บล.เคจีไอระบุฯ
บริษัทวางกลยุทธ์ระยะยาวคือจะลดการจ่ายเงินสดให้น้อยที่สุด และสงวนสภาพคล่องเอาไว้ บริษัทได้ปรับลดแผนการลงทุน 3 ปี (2563-2565) ลงประมาณ 40% โดยจะเดินหน้าเฉพาะงบลงทุนส่วนที่มีกำหนดการแน่นอนแล้วเท่านั้น จากเงินสดในมือที่ 3 หมื่นล้านบาท ประกอบกับกับวงเงินกู้ที่สามารถเบิกได้อีก 2.5 หมื่นล้านบาท ผู้บริหารยังคงมั่นใจว่าบริษัทมีสภาพคล่องเกินพอสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า
บล.ฟินันเซียไซรัสปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย MINT เป็น 29 บาท (ปรับ Beta ลงจากพัฒนาการของวัคซีน) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานทยอยฟื้นตัวทั้งธุรกิจโรงแรมที่ทยอยขาดทุนลดลง ขณะที่ธุรกิจอาหารคาดมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยในด้าน Cash Burning จะลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ซึ่งอยู่ที่เดือนละ 1,500 ล้านบาท ด้านเงินทุนปัจจุบันเพียงพอรับสถานการณ์ได้อีก 1 ปี ระหว่างรอวัคซีนสำเร็จและแจกจ่ายทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรี ปรับลดคำแนะนำ เป็น “ขาย “เนื่องจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแรงในช่วงหลัง ทำให้แพงเกินพื้นฐานไปมากแล้ว และปรับลดราคาเป้าหมายลงอีก 2% เป็น 20.60 บาท
” เราปรับประมาณการปี 2563 เป็นขาดทุนสุทธิ 2.1 หมื่นล้านบาท ปี 2564 เป็นขาดทุนสุทธิ 7.3 พันล้านบาท และปี 2565 เป็นกำไรสุทธิ 2.4 พันล้านบาท นอกจากนี้ เรายังปรับสมมติฐาน RevPar ของโรงแรม NH เพื่อสะท้อนถึงอัตราการเข้าพักที่อ่อนแอในช่วงที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบสอง”บล.กรุงศรีระบุ
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คงราคาเป้าหมาย 28 บาท แม้มีมุมมองเป็นบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ก็ตาม คาดว่าไตรมาสที่ 4 ดีขึ้น และยังคงประมาณการในปี2563 เป็นขาดทุนสุทธิที่ 1.8 พันล้านบาท
ส่วนราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 20% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มากกว่ากลุ่มฯ (ERW +16%, CENTEL +9%) จากความหวังเรื่องวัคซีนที่พัฒนาและจะนำมาใช้ได้เร็วกว่าคาด โดย MINT ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะวัคซีนนี้จะเริ่มใช้ที่สหรัฐฯและยุโรปก่อน ปัจจุบัน MINT มีสัดส่วนโรงแรมในยุโรปสูงถึง 60%
บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 24.05 บาท จากเดิมให้ราคาเพียง 17.50 บาท คาดผลประกอบการในไทยฟื้นตัวดี แต่ยุโรปยังมีความผันผวน ไตรมาส 4 จะขาดทุนเพียงเล็กน้อย
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 29.70 บาท จากเดิมตีมูลค่าเหมาะสม 27.60 บาท ปรับประมาณการปี 2563-2565 เป็นขาดทุนปกติ 1.9 หมื่นล้านบาท, กำไรปกติ 1.3 พันล้านบาท และ 4 พันล้านบาท ตามลำดับ
ก่อนหน้านี้ นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 จะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารที่กลับมาเปิดได้ 90% ขณะที่ธุรกิจโรงแรมเริ่มฟื้นตัว แต่ยังต้องจับตาการระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 ในกลุ่มยุโรป
สำหรับแนวโน้มในปี 2564 จะขยายตัวได้ดีจากปีนี้ และบริษัทตั้งเป้าควบคุมค่าใช้จ่ายและลดการลงทุนอย่างเข้มงวด เพื่อลดกระแสเงินสดจ่ายและรักษาสภาพคล่องไว้ให้มากที่สุด ปัจจุบันบริษัทสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ 40% ของงบประมาณแล้ว ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะลด 30% พร้อมลดงบลงทุนปีนี้จาก 17,000-18,000 ล้านบาท เหลือเพียง 10,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะลดในปี 2564-2565 เหลือปีละ 4,000-5,000 ล้านบาทเท่านั้น
ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 30,000 ล้านบาท และจะเน้นการลงทุนในส่วนที่มีความจำเป็นมากที่สุด รวมถึงบริษัทยังชะลอการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ออกไปก่อน ขณะเดียวกันเตรียมขายสินทรัพย์ในยุโรปออกประมาณ 1-3.5 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 1 แสนล้านบาท เพื่อรับมือสถานการณ์ไม่แน่นอนในปี 2564