ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน นักลงทุนเชื่อมั่นภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ มองปัจจัยการเมืองกดดันความเชื่อมั่นมากที่สุด และเฝ้าติดตามทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศในระยะต่อไป
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกรกฎาคม 2561 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 5 เดือน อยู่ในภาวะทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่สาม โดยผลสำรวจชี้ว่านักลงทุนเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจในประเทศเป็นตัวหนุนการลงทุน ขณะที่นักลงทุนติดตามสถานการณ์การเมืองเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นมากที่สุด ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนเฝ้าติดตามทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศในระยะต่อไป ภายหลังจากที่มีตัวเลขขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปี 2561 จากผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการลงทุน ของสหรัฐกับประเทศคู่ค้าและนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ”
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกรกฎาคม 2561 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กันยายน 2561) เพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 – 120) โดยเพิ่มขึ้น 10.55% อยู่ที่ระดับ 101.33
ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเดือนก่อนจาก Zone ทรงตัว (Neutral) มาอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)
ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลต่างปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจเหล็ก (STEEL)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมือง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนมิถุนายน เคลื่อนไหวในทิศทางลดลงตลอดเดือน จากระดับสูงสุดในช่วงต้นเดือนที่ 1737 จุด มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ทำให้ดัชนีฯ ลดลงมาอยู่ที่ 1595 จุดในช่วงปลายเดือน โดยมีปัจจัยจากแรงขายสุทธิต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาและความกังวลถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการลงทุน ที่มีแนวโน้มขยายตัวระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ทั้งประเทศจีนและกลุ่มอียู รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่มีการปรับขึ้นไปแล้ว 2 ครั้ง และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 2 ครั้งในปีนี้
ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศจากตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค.ขยายตัว 11% และกนง.ปรับคาดการณ์ GDP Growth ปี 2561 เพิ่มขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.4% และนักลงทุนเชื่อมั่นว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังมีอัตรากำไรในทิศทางที่ดี
อย่างไรก็ตามนักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยสถานการณ์ทางการเมืองและกำหนดวันเลือกตั้งที่คาดว่าจะเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 และเงินทุนไหลออกจากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่นักลงทุนติดตามมากที่สุด โดยประเด็นติดตามยังคงเป็นความชัดเจนของผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้า นโยบายกีดกันการลงทุนของสหรัฐและประเทศคู่ค้าหลัก และอาจขยายไปสู่ประเทศอื่นๆทั่วโลก รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายทางการเงินของสหรัฐ
สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ สถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มประเทศในยุโรปยังมีความไม่แน่นอน หลังจากที่เกิดความขัดแย้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ของเยอรมัน และนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรป และแนวโน้มความผันผวนของราคาน้ำมันจากการประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค เพื่อรองรับชดเชยอุปทานที่ลดลงจากเวเนซูเอลาและการประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านของสหรัฐ