HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ขอเวลาติดตามข้อมูล ภาวะตลาดก่อน หากไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ พร้อมยกเลิกมาตรการชั่วคราว ซิ่ลลิ่ง-ฟลอร์ 15% ชอร์ตเซล สิ้นเดือนนี้ เผยหุ้นไทย-ทั่วโลกผันผวนกว่าช่วงเกิดโควิด ไม่แน่ใจอาจจะเป็นภาวะปกติของโลกในอนาคต ไม่ห่วงหากตลาดผันผวนรุนแรง คุยกับก.ล.ต.แล้วมีเครื่องมือพร้อมใช้ทันสถานการณ์ ส่วนภาวะตลาดหุ้น 8 ก.ย. ดัชนีหลุด 1,300 ตามคาด บล.บัวหลวง-เอเซียพลัส-ดีบีเอส คาดลงแล้วเด้ง ส่วนบล.ทิสโก้เตือนระวัง ไม่ควรต่ำกว่า 1,290
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยกรณีตลาดหลักทรัพย์ใช้มาตรการชั่วคราว คือชอร์ตเซลใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) และมาตรการราคาขึ้นสูงสุดและลดลงต่ำสุด (ซิลลิ่ง-ฟลอร์) 15% จนถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้ ว่า อาจจะไม่ต่อมาตรการออกไป หากไม่มีเหตุการณ์ที่ผิดปกติ ก็เข้าใจได้ว่ามาตรการจะถึงสิ้นเดือนนี้ แต่หากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ทำให้มีความผันผวนสูงขึ้น ก็จะขยายเวลาการใช้ออกไป ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามข้อมูลละเอียดถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้ ก่อน
ทั้งนี้ ก่อนใช้มาตรการชั่วคราว ตลาดกำหนดให้ราคาซิลลิ่ง-ฟลอร์อยู่ที่ 30% และเกณฑ์ชอร์ตเซลปกติ คือ ขายชอร์ตใช้ราคาที่สูงกว่าหรือเท่ากับราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายได้ (ZeroPlus Tick)
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มั่นใจว่า เหตุการณ์ปกติคืออะไร เพราะก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลาดหุ้นไทยมีค่าความผันผวน 15% ซึ่งในช่วงเดือนมี.ค. เกิดความผันผวนมากๆ เคยขึ้นสูงกว่า 100% แต่หลังจากเดือนเม.ย. -มิ.ย.ความผันผวนไม่ได้ลดลงถึง 15% แต่ยังคงอยู่ที่ 20-30% ไม่กลับไปเหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด และเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก จึงขอดูข้อมูลก่อน ค่าความผันผวนในปัจจุบัน อาจจะเป็นภาวะปกติของโลกในอนาคตก็เป็นไปได้ นักลงทุนจะต้องระมัดระวังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนสูงยังคงมีอยู่ทั่วโลก ตลาดสหรัฐไม่มีอะไรเลย จู่ๆ ก็ลดลง 5% รวมถึงความไม่แน่นอนทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ จึงฝากนักลงทุนติดตามข่าวให้ดี แต่ไม่ต้องกังวล ตลาดหลักทรัพย์มีมาตรการต่าง ๆ ที่สามารถรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้แล้ว ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่่ใช้ไปแล้ว เช่น เซอร์กิตเบรคเกอร์ เพิ่มเป็น 3 ระดับ ซิลลิ่ง-ฟลอร์ ชอร์ตเซล และยังมีการเจรจากับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อนำมาตรการที่มีอยู่ราว 5 มาตรการออกมาใช้ในอนาคตได้อย่างรวดเร็วขึ้น เช่น เปลี่ยนเวลาการซื้อขาย, ปรับอัตรามาร์จิ้น เป็นต้น ซึ่งทาง ก.ล.ต.เห็นชอบในหลักการเบื้องต้นแล้ว ตลาดหลักทรัพย์จะสามารถหยิบมาตรการต่าง ๆ มาใช้ได้ทันสถานการณ์
ส่วนการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น) ประมาณเดือนละ 6 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก เป็นไปตามปกติ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในปีหน้า จะต้องดูว่าบจ.จะสามารถทำกำไรอะไรได้บ้าง ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ สิ่งที่นักลงทุนจะต้องพิจารณา แต่ละตัว และแต่ละอุตสาหกรรม ในปีนี้มีอย่างน้อย 2-3 อุตสาหกรรมดีกว่าต้นปี คืออิเล็กทรอนิกส์ อาหาร กระดาษ มีการฟื้นตัวเรียบร้อยแล้ว
“เราติดตามผลการดำเนินงานลดลงอย่างไร เรามองไปข้างหน้า สัญญลักษณ์ C ที่เราใช้ ในเรื่องความผันผวนของผลการดำเนินงาน ได้ให้ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล มองไปข้างหน้าให้นักลงทุนทราบ เราช่วยเหลือ คือการลดภาระในการทำธุรกิจ ทั้งการเงิน และการดำเนินงาน สิ่งที่พยายามทำ คือการให้ข้อมูลบจ.มากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ เราทำงานร่วมกับบจ. เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงการปรับตัวของบริษัทมากขึ้น “นายภากรกล่าว
ทางด้านตลาดหุ้นวันที่ 8 ก.ย. เปิดวันแรกหลังจากหยุดหลายวัน ได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวลงแรงกว่า 5% อย่างที่คาดการณ์ไว้ โดยแรงขายกระจายในหุ้นทุกกลุ่ม กดดัชนีลงต่ำกว่าจุดจิตวิทยา 1,300 จุด ปิดที่ 1,293.80 จุด ทรุดลง -18.15 จุดหรือ -1.38% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 45,368.66 ล้านบาท เกิดจากแรงขายของสถาบันไทยมากถึง 2,182.75 ล้านบาท ต่างชาติขายเพียง 126 ล้านบาท ส่วนรายย่อยถือโอกาสช้อนกว่า 2,256 ล้านบาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดว่าตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐบ้าง แต่ไม่รุนแรง สัปดาห์นี้เลือก หุ้นเติบโต & ปันผลสูง ได้แก่ AP, DCC และหุ้น Defensive คือ BDMS
บล.โนมูระ พัฒนสิน เผย ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องสู่ 93.13 จุด กดดันค่าเงินเอเชียอ่อนค่า ทำให้เงินทุนในเอเชียยังคงผันผวน โดยต่างชาติขายสุทธิ 7 ใน 8 วันทำการ รวม -5,143 ล้านเหรียญ กดดันจิตวิทยาการลงทุนในตลาดเอเชียและไทย แนะธีมค่าเงินบาทอ่อน TU ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท XO ให้มูลค่า 10.50 บาท และTVO ราคาเป้าหมาย 30 บาท จากราคาถั่วเหลืองพุ่งขึ้น
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับฐาน -1.52% สู่ 42.01 เหรียญ/บาร์เรล หลังซาอุดิอาระเบียปรับลดราคาขาย (Official Selling Price : OSP) แก่เอเชียและสหรัฐฯ สะท้อนซาอุฯมีความกังวลต่อความต้องการน้ำมันดิบที่ยังผันผวน กดดันกลุ่มพลังงานถ่วงตลาด
“คาดตลาดหุ้นไทยปรัยตัวลงแนว ต้าน 1317/1322 จุด รับ 1301/1287 จุด” บล.โนมูระ พัฒนสินระบุ
บล.บัวหลวง คาดดัชนีหลุดแล้วรีบาวด์ ดัชนีฯไม่ได้อยู่ในสภาวะทิ้งตัว แนะนำซื้อ GULF เป้าหมาย 45 บาท AP 7.20 บาท CPF 38.75 บาท ส่วนบล.เอเซียพลัสคาดตลาดจะผันผวนเหนือ 1,300 จุด นักลงทุนเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษบกิจ เช่นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยชอบหุ้น AP มากที่สุด
บล.ทิสโก้เตือนนักลงทุนระวังการเก็งกำไร ควรหยุดหากลงต่ำกว่า 1,290 รอจังหวะสะสม แต่ไม่ต้องรีบร้อน 1-2 เดือน แนะนำให้เลือกซื้อหุ้นธีมกำไรโต-ปันผลสูง ช่วงนี้การเมืองร้อนแรง อุตสาหกรรมที่มักแข็งแรงกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์-อาหาร-อิเล็กทรอกนิส์