บล.บัวหลวงชี้เป้าครึ่งหลังไม่เกิน1,450 เน้น “อาหาร-บรรจุภัณฑ์-คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์”

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวงให้เป้าครึ่งปีหลัง 1,280-1,450 จุด กลยุทธ์สลับเปลี่ยนกลุ่มเป็นรอบๆ เน้นเติบโตสูง กลุ่มส่งออก อาหาร , กลุ่มบรรจุหีบห่อ  คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัว  กลุ่มร้านอาหาร, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มน้ำมันและโรงกลั่น  คาดกำไรบจ.ไตรมาส 2/63 ลดลง 40% 

บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปี 63 แกว่งตัว หลังไวรัสโควิด-19 กดดันภาพรวมเศรษฐกิจ ฉุดกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ปี 63 ลงเฉลี่ย 40% แนะสร้างโอกาสการลงทุน 6 เดือนหลัง ด้วยกลยุทธ์ “Sector Rotation” เน้นสร้างพอร์ตลงทุน ด้วย “หุ้นเติบโต” ผสม “หุ้นปันผล” พร้อมกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในครึ่งปีหลัง เคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,450 จุด และ December Rally ในช่วงปลายปี อาจไม่เกิดขึ้น เพราะปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E 22 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 63 และP/E เฉลี่ย 16.7 เท่าของปี 64 เมื่อเทียบค่าเฉลี่ย P/E ในช่วง 10 ปีก่อนที่อยู่ประมาณ 16 เท่า

“สภาพคล่องในระบบที่สูงมาก  สถาบันการเงินที่แข็งแกร่ง ดอกเบี้ยนโยบายต่ำระดับ 0.50% ต่อปี อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดปีนี้เฉลี่ย 2 – 2.2% ถือว่าสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 ปีที่ 0.52% แต่ใกล้เคียงอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้บริษัทเอกชนเรทติ้ง A+ ที่อยู่ราว 2.4%  ช่วยสนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนยังไม่ไหลออกไปจากตลาดหุ้น  แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตาม และปัจจัยลบกดดันการลงทุน เช่น กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 อาจลดลงเฉลี่ย 40% ซึ่งอาจเป็น “จุดต่ำสุด” เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่กำไรลดลง 25% และจะค่อย ๆ เห็นการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2563 ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในปลายปี 2564 ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 18 เดือนต่อการลงทุน “นายชัยพลกล่าว

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน สลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนเป็นรอบ ๆ ขึ้นให้ขาย ลงให้ซื้อ เน้นลงทุนหุ้นไทย โดยผสมระหว่าง “หุ้นเติบโต” และ “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ปันผลสูง” กลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตที่ดี คือ กลุ่มส่งออกอาหารประเภท หมู ไก่ ทูน่า, กลุ่มบรรจุหีบห่อ และกลุ่มคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลัง คือ กลุ่มร้านอาหาร, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มน้ำมันและโรงกลั่น

สำหรับกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า, กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มบริการ เช่น โรงพยาบาล และท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งอาจฟื้นตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปจนถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปี 64

ในช่วงตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) แบ่งเป็น 1.หุ้นกู้และตลาดเงิน สัดส่วน 40% 2.ทองคำ สัดส่วน 12%, 3.กองทุนอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 7% และตลาดหุ้นไทย สัดส่วน 10%

ส่วนที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 31% โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นฮ่องกง เน้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ (e-commerce), กลุ่มซอฟต์แวร์บริการ (Software-as-a-Service) และกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแพร่ระบาดโควิด-19, การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และการทำงานจัดการขององค์กรทั่วโลกผ่านระบบออนไลน์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ผลตอบแทนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) นับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน -14.8%, -19.2% และ -22.92% ตามลำดับ โดยดัชนีหุ้นไทยลงต่ำสุดในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งติดลบมากสุดถึง 40% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันบวก 1.95% ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นเกาหลีที่ -0.2% ตามลำดับ หลังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่งมีหุ้นเกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ และไอทีค่อนข้างมาก