ทริสเรทติ้งจัดเครดิตยูนิค เอ็นจิเนียริ่งฯ ที่ “BBB+” ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น แต่กระจุกอยู่กับงานรัฐ ในมือมีโครงการใหญ่ไม่กี่งาน เสี่ยงหากสดุดบั่นทอนผลงาน คาดรายได้ปี 63 ถึง 17,000 ล้านบาท เพิ่ม 5 พันล้านจากปีก่อน
บริษัท ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) ที่ระดับ “BBB+” สะท้อนถึงมูลค่างานในมือจำนวนมาก ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง และผลงานก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของธุรกิจ การเพิ่มขึ้นของการก่อหนี้ และความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง
บริษัทมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ร่วมมือกับผู้รับเหมาชั้นนำจากประเทศจีนในการประมูลงานก่อสร้างโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการรับงานก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการประมูลงาน นอกจากนี้ ยังช่วยก่อให้เกิดการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีการก่อสร้างอีกด้วย
โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ถือเป็นโครงการรถไฟฟ้าขนาดใหญ่โครงการแรกของบริษัท โครงการล่าสุดคือโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 13,700 ล้านบาทนั้นเป็นโครงการรถไฟฟ้าโครงการแรกที่บริษัทยื่นประมูลโดยไม่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรใด ๆ นอกจากนี้ บริษัทเพิ่งชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ (ลพบุรี-ปากน้ำโพ) จำนวน 2 สัญญาโดยมีมูลค่าสัญญารวมกันประมาณ 18,700 ล้านบาท
“งานของบริษัทกระจุกตัว พึ่งพิงลูกค้าภาครัฐ งานในมือของบริษัทประกอบไปด้วยโครงการขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการ โดยโครงการขนาดใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกมีสัดส่วนเกือบ 90% ของมูลค่างานในมือ ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2561 หากเกิดความผิดพลาดในการส่งมอบโครงการหรือเกิดเหตุขัดข้องใด ๆ ในโครงการใดโครงการหนึ่งก็อาจบั่นทอนผลการดำเนินงานของบริษัทได้”บริษัททริสเรทติ้งระบุ
มูลค่างานในมือของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยสูงถึงประมาณ 37,000 ล้านบาท ณ เดือนมี.คง2561 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 12,000 ล้านบาทในปี 2561 เป็น 17,000 ล้านบาทในปี 2563 โดยที่งานในมือของบริษัทคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 90% ของรายได้ที่คาดการณ์
แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะยังรักษาความสามารถในการแข่งขันในโครงการภาครัฐต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตรากำไรของบริษัทก็จะยังคงแข็งแกร่งและการก่อหนี้จะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน