HoonSmart.com>>ธนาคารทหารไทยโชว์กำไร 4,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% ไตรมาส 1/2563 รับรู้ผลประโยชน์รวมกิจการกับธนาคารธนชาต ทั้งด้านงบดุลและต้นทุน หนุนสินทรัพย์ เงินฝาก สินเชื่อโต 2 เท่า สินเชื่อขยายตัว 0.8% จากไตรมาสก่อน NIM ขึ้นมาอยู่ 3.12% เทียบกับ 2.69% ในไตรมาส 4/2562 ขั้นตอนการรวมกิจการคืบหน้าตามแผน เป้าหมายปี 63 เน้นความสามารถในการทำกำไรมากกว่าโต
ธนาคารทหารไทย (TMB) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/2563 เป็นไปตามเป้าหมาย มีกำไรสุทธิ 4,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% จากไตรมาสก่อนและ 164% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังจากรับรู้รายได้จากธนาคารธนชาตเข้ามาเต็มไตรมาส
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการกับธนาคารธนชาต โดยเฉพาะจากด้านงบดุล (Balance Sheet Synergy) และด้านต้นทุน (Cost Synergy) ขณะที่ขั้นตอนการรวมกิจการก็คืบหน้าได้ตามแผน โดยธนาคารได้ทำข้อตกลงร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านประกันชีวิตกับ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงการทยอยโอนย้ายลูกค้าและเปิดสาขาร่วมระหว่างทั้งสองธนาคารหรือที่เรียกว่า Co-location branch ก็เริ่มทำไปแล้วเช่นกัน
การรวมกิจการกับธนาคารธนชาต ได้ช่วยปลดข้อจำกัดด้านขนาดของธนาคารทหารไทยออกไป ปัจจุบันขนาดสินทรัพย์ เงินฝาก และสินเชื่อเติบโตขึ้นกว่า 2 เท่า ดังนั้น เป้าหมายในปี 2563 จึงจะเน้นเรื่องของการเพิ่มความสามารถให้การทำกำไรจากการรับรู้ผลประโยชน์ หรือ Synergy ที่เกิดขึ้นจากการรวมกิจการ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเร่งเรื่องการเติบโตมากนักในปีนี้
นายปิติ กล่าวว่า ธนาคารเริ่มปรับโครงสร้างงบดุลใหม่ในทันที โดยในส่วนของเงินฝาก มีแผนการปรับโครงสร้างด้วยการปรับลดสัดส่วนเงินฝากประจำและแทนที่ด้วยเงินฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เงินฝาก All Free และเงินฝาก No Fixed ซึ่งในไตรมาส 1 ก็ทำได้ตามเป้าหมายและทำให้ยอดเงินฝากรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า
ด้านสินเชื่ออยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่เน้นเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ทำให้ในปัจจุบันกว่า 90% ของพอร์ตสินเชื่อรายย่อยเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน
การปรับโครงสร้างดังกล่าวส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ด้านงบดุล สะท้อนได้จากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยหรือ NIM ที่ปรับตัวดี ขึ้นมาอยู่ 3.12% เทียบกับ 2.69% ในไตรมาส 4/2562 และ 2.89% ในไตรมาส 1/2562 ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 14,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และ 125% จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว (YoY) เมื่อรวมกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจำนวน 4,182 ล้านบาท (+15% QoQ, +83% YoY) ทำให้ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 18,195 ล้านบาท (+55% QoQ, +114% YoY)
ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8,331 ล้านบาท (+26% QoQ, +76% YoY) โดยธนาคารเริ่มรับรู้ผลประโยชน์ด้านต้นทุนแล้วเช่นกัน เนื่องจากสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ทับซ้อนกันลงได้ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และค่าใช้จ่ายด้านระบบไอที เป็นต้น ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 46% เทียบกับระดับ 51-55% ก่อนการรวมกิจการ โดยมองว่าในปีนี้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 48-50%
จากการรับรู้ประโยชน์จาก synergy ทั้งสองส่วน ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 9,862 ล้านบาท (+91% QoQ, +160% YoY) ทั้งนี้ ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 4,760 ล้านบาท เพื่อการดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบและการบริหารหนี้เสียให้อยู่ในระดับต่ำผ่านการ write off และการขาย ทั้งนี้ ยอดหนี้เสียตามการจัดชั้นสินเชื่อตามมาตรฐานบัญชีแบบใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 44,183 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมที่ 2.76% ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.80%
ด้านความเพียงพอของเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วน CAR และเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือ Tier I กรอบประมาณการณ์เบื้องต้นอยู่ที่ 18.8% และ 14.5% ซึ่งยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ Basel III และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ
นายปิติ กล่าวถึงไตรมาสต่อไป ธนาคารก็จะเดินหน้าตามแผนรวมกิจการ เพื่อให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2564 เป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม
สำหรับผลกระทบต่อการดำเนินงานนั้น เชื่อว่าอุตสาหกรรมธนาคารไทยสามารถรับมือได้ เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งในเรื่องของสภาพคล่องและความเพียงพอของเงินกองทุน อีกทั้งยังได้มาตรการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเข้ามาช่วยหนุนให้ธนาคารมีความยืนหยุ่นในการดำเนินงานและการให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้มากขึ้น