“ผมเคยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ที่บอกว่า ผมขี้โม้ อย่าไปเชื่อ เงิน 80,000 บาทจะกลายเป็นร้อยล้าน แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมมีอาวุธลับ ที่ในวันนั้นไม่สามารถบอกใครได้”
และวันนี้ “เสี่ยแตงโม-สมเกียรติ ธนัตถ์เจริญกุล” ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ HoonSmart เปิดเผย “อาวุธลับ” ที่ทำให้เงิน 80,000 บาท กลายเป็นเงินล้าน!!!
เสี่ยแตงโม : ในช่วงนั้น ผมมีเงิน 80,000 บาท ผมจะแบ่งการลงทุนไว้ 4 ตัว ตัวไหนซิลลิ่ง ผมจะใช้ทุน 40,000 บาท ผมขอใช้คำว่า ผมแทงหุ้นนะ เพราะผมคิดอยู่ตลอดว่า นี่คือการเสี่ยงดวง เหมือนๆ กับเรา อยู่ในบ่อนการพนัน แทงหัว แทงก้อย ยังไงยังงั้นครับ และทันใดนั้น ผมดีใจกับสิ่งที่ผมคิด ผมก็ดีใจเสียงดังมาก และยอมรับว่า ดังจริงๆ แหละ เพราะผมเป็นคนเสียงดังครับ จนทำให้รุ่นพี่รู้สึกรำคาญมาก “ไอ้เกียรติ ก…รู รู้สึกมึงจะเสียงดังไปหน่อยนะ” ผมก็บอกว่า ผมขอโทษครับเฮีย ที่ทำให้เฮียรำคาญ ทำไงได้ล่ะ หุ้นผมปรับขึ้น 10% ใครบ้างล่ะจะไม่ดีใจ เพราะกำไรตั้ง 4,000 บาท พรุ่งนี้ก็จะได้อีก 4,000 บาท ในช่วงนั้นมีคนมีชื่อเสียงมากๆ ในอำเภอหาดใหญ่ ระดับเซียนเลยแหละ ไม่เคยมีใครสนใจผมเลย เพราะเราโนเนม
เวลาผ่านไป ทุกคนในห้องเริ่มเห็นผมเสียงดัง ก็เริ่มสนใจผมขึ้นมานิดหน่อย เพราะไปถามเซียนคนนั้น ก็บอกหุ้นตัวเดิมๆ ไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่พอถามผม ผมก็ชี้ไปที่หุ้น ASL เพราะอะไรล่ะรู้ไหม ก็เพราะมันชนเพดาน (ซิลลิ่ง) ไงล่ะ อีกวันต่อมาก็ซิลลิ่ง เชื่อไหม หากผมจำไม่ผิด ชนซิลลิ่ง หลายวันมาก ผมจำได้ที่ 7 วันทำการนะครับ เพื่อนๆ ลองไปดูประวัติดูนะ ผมอาจจะพูดโอเว่อร์ไปนิดๆ
ผมแทงถูกหลายๆ ครั้ง จนหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ก็มีรุ่นพี่ที่มีเงิน มาบอกกับผมว่า “เฮ้ยเซียนโม ก…รู ว่า ม..รึง เก่งนะ ม…รึง มาเล่นในพอร์ตเฮียมั้ย” ผมถามว่า ผมจะได้อะไรล่ะเฮีย หากผมทำกำไรได้ เฮียจะแบ่งกำไรให้ 20% ผมตอบไปว่า ผมขอคิดก่อนนะครับเฮีย ผมนั่งคิดอยู่ 2-3 วัน ผมก็ไปบอกเฮียคนนั้นว่า เอาแบบนี้ดีกว่าเฮีย ผมมีเงิน 300,000 บาท ผมเอาเงินใส่ในบัญชี เฮียเลยถามผมว่า ทำไม ผมบอกว่า เรื่องอะไรผมจะเก็บกำไรแค่ 20% ล่ะ ผมขอวัดดวงกับเฮีย 50% เลยดีกว่า ผมชนะอยู่แล้ว ความพ่ายแพ้ไม่มีแน่ ผมมีแต่คำว่าชนะ ถึงแพ้ผมก็แบ่ง 50% เหมือนกัน
จากนั้น เฮียที่มีความประสงค์จะให้ผมบริหารพอร์ตให้ พอรับรู้เรื่องราวที่ผมเสนอไป แพ้ หรือ ชนะ เราสองฝ่ายตกลงกันว่า 50/50 เพราะผมคิดว่า มันแฟร์ที่สุดแล้ว ด้วยเหตุผลที่ผมแอบคิดในใจว่า ผมต้องชนะ ในช่วงเวลานั้น ผมมีความมั่นใจ ในการเก็งกำไรอย่างมาก
ผมบริหารพอร์ตให้เฮีย ใช้เวลา 1 ปีที่จากการได้ตกลงกัน ผมจำได้ว่า มีกำไร 1.2 ล้านบาท แบ่งครึ่งก็จะได้คนละ 600,000 บาท ซึ่งภายในหนึ่งปี ที่ผมได้รับจ้าง มีกำไรมาตลอด เพียงแต่ช่วงเวลาตลาดปรับตัวลง ผมก็มีการคืนกำไรกลับไปบ้าง และการที่ผมทำให้พอร์ตเริ่มมีการขาดทุน ช่วงตลาดปรับตัวลงนั้น เฮียคนนั้นก็ได้เรียกผมประชุมกันอีกรอบ แล้วแกก็พูดว่า “เซียนโม ก..รู ว่านะ ช่วงหลัง ม..รึง เป๋จัง เฮียคิดว่า เราควรแยกกันลงทุนดีกว่า”
ผมได้ฟังเหตุผลของเฮียที่บอกผมมาแบบนี้ ผมเองก็รู้สึกน้อยใจมาก และก็บอกเฮียกลับไปว่า เฮียคิดดีแล้วใช่ไหม หากเฮียคิดดีแล้ว ผมก็ไม่ว่าเฮียนะ เอาที่เฮียสบายใจก็แล้วกัน แต่เฮียจำไว้นะ หากวันไหน ผมมีกำไร เฮียแอบได้ยิน เฮียจะกลับมาเหมือนเดิม ผมจะไม่โอเคกับเฮียแล้วนะครับ (ผมแอบมานั่งคิด โอ้โห เราทำกำไรให้เขาขนาดนี้ ยามสุข เขาก็ชมเรา ยามทุกข์ ก็เล่นบอกเลิกเราเลย อ้างมาคำเดียวว่า “ก..รู กลัว ม..รึง ทำให้หมดตัวจัง” ใครบ้างล่ะครับ จะไม่เจ็บปวด
หลังจากที่ผมได้เลิกร่วมการลงทุนกับเฮียเขา ผมมีทุน 600,000 กว่า ผมก็ใช้ทุนที่ผมมี เล่นเก็งกำไรไปเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่ง ผมก็เข้าไปคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (ขอโทษครับ ผมไม่สามารถบอกได้จริงๆ ว่าเป็นใคร เอาเป็นว่า บุคคลผู้นี้ เป็นผู้กว้างขวาง และรู้จักนักลงทุนที่มีเงิน จำนวนมากพอสมควร) ผมก็บอกกับผู้ใหญ่ท่านนี้ว่า ผมจะทำอย่างไรดีครับ ผมอึดอัดมากๆ ผมรู้ทั้งรู้ว่า หุ้นตัวนั้นมันต้องขึ้น ในวันถัดไป แต่บังเอิญ ผมไม่มีเงินซื้อหุ้น จากนั้นผมก็เข้าประเด็นเลย ผมถามว่า พอจะหาเงินทุน ให้ผมได้ซื้อหุ้น จะคิดดอกเบี้ยผมเท่าไหร่ ผมก็ยินดีที่จะจ่าย พอผู้ใหญ่ท่านนี้รู้ความประสงค์ผม ก็ตอบผมกลับมาว่า “ขอเวลาอีกระยะหนึ่ง อาจารย์ใจเย็นๆ นะ ผมจะพยายามช่วยเหลือให้ได้ เพราะผมรู้ว่า อาจารย์แตงโมเป็นคนเก่งมาก”
จากนั้น เวลาผ่านไปได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็เรียกผมเข้าพบ และบอกกับผมว่า “ผมหานายทุนให้อาจารย์แตงโมได้แล้วนะ” มีหลักการแบบนี้ คือ หากขอกู้วันละ 1 ล้านบาท ก็ต้องเสียดอกเบี้ย 2,500 บาทต่อวัน หากวันไหนซื้อหุ้นวันอังคาร ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ย 3 วัน (T+3) ก็จะเท่ากับ 7,500 บาท ผมก็บอกว่า แล้วผมจะต้องวางหลักประกันอะไรครับ ท่านตอบมาว่า เช็คค่าขายที่ได้รับ จะต้องนำมาเป็นหลักประกัน หากเช็คค่าขายน้อยกว่ายอดกู้ ก็ต้องตีเช็คให้เพิ่ม เท่ากับยอดกู้บวกดอกเบี้ย
ผมก็บอกว่า ผมขอบคุณมากๆ ที่ช่วยเหลือผมครั้งนี้ ผมจะไม่มีทางลืมบุญคุณครั้งนี้อีกเลยครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ ซึ่งสมัยนั้น ค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์ อยู่ที่ 0.5% หรือ ล้านละ 5,000 บาท บวก VAT อีก 7% ก็ประมาณ 350 บาท ในมุมมองผมในช่วงเวลานั้น ผมแอบคิดว่า สำหรับค่าใช้จ่ายแค่นี้ สบายมาก เพราะหากผมซื้อหุ้น 1 ล้านบาท ค่าคอมฯ บวกกับดอกเบี้ย ยังไม่ถึง 10,000 บาท ผมจะกลัวทำไม เพราะเงิน 1 ล้านบาท พรุ่งนี้ผมก็จะมีกำไรวันละ 100,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเหลือกำไร 90,000 บาท ผมก็เลยนั่งยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ วันนี้เรามีโอกาสร่ำรวยแล้ว
เมื่อผมพบทางสว่าง ผมก็ถามต่อว่า แล้วจะให้วงเงินผมกู้เท่าไหร่ล่ะครับ คู่สนทนา ตอบกลับมาว่า ง่ายนิดเดียว อาจารย์ก็ดูวงเงินของตัวเองสิ ว่าโบรกเกอร์ให้วงเงินอาจารย์เท่าไหร่ ทันใดนั้น ผมก็ไม่ช้า ขอเพิ่มวงเงิน หรือเพิ่มพอร์ตทันที
เดือนสิงหาคม 2536 ผมก็เริ่มมีกำไรเดือนละล้านกว่า กันยายน และตุลาคม ก็กำไรสัดส่วนพอๆ กัน จากนั้นความฮึกเหิมตัวผมเอง ก็บ้าบิ่นมาก เดือนพฤศจิกายน 2536 เดือนเดียว ผมมีกำไร 8 ล้านบาท เพื่อนๆ ผู้ลงทุนก็รู้ว่าผมมีกำไรมาก คนหาดใหญ่ทั้งเมืองรับรู้ข่าวสารของผมเรื่องการกำไรหุ้นมากขนาดนี้ ผมก็มีชื่อเสียงไปโดยปริยายครับ ร่ำรวยจนมีเงินรวม 10 กว่าล้านบาท ภายในช่วงพริบตาเดียว
เมื่อวอลุ่มเทรดต่อปีของผมมากขึ้นเป็นลำดับ ปี 2538 ผมก็เริ่มเป็นลูกค้าที่เนื้อหอมมาก มีโบรกเกอร์มาชวนให้ไปเทรดหุ้นที่บริษัทเขา ยื่นข้อเสนอต่างๆ นานา และข้อเสนอน่าสนใจครับ และผมก็เป็นคนแรกของหาดใหญ่ที่ได้รับสิทธิพิเศษสุดจากโบรกเกอร์ โดยในแต่ละวันไม่ว่าจะมีวอลุ่มเทรดเท่าไรจะได้เงินค่าคอมมิชชั่นคืนกลับมา ในอัตราที่แล้วแต่จะตกลงกันระหว่างโบรกเกอร์กับลูกค้า (เป็นการลดค่าคอมมิชชั่นแบบอ้อมๆ)
เรื่องของดอกเบี้ยเงินกู้ ผมบอกเพื่อนๆ ไปว่า เพื่อนจำไว้หากวันไหนผมมีเงินมาก ผมจะต้องทุบดอกเบี้ยลงมาให้ได้ เพราะขนาดโบรกเกอร์เอง ก็ลดค่าคอมมิชชั่น จาก 5,000 บาท ลงมาเหลือ 2,500 บาทต่อการเทรดหุ้น 1 ล้านบาท ผมมานั่งคิดว่า ดอกเบี้ยตามความเหมาะสมแล้ว ก็ไม่ควรจะแพงกว่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์ครับ ผมก็บอกเพื่อนๆ ให้รอดูฝีมือผมก็แล้วกัน ว่าผมจะทำได้ไหม เรื่องการทุบดอกเบี้ยให้ลงมา
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ว่า เสี่ยแตงโม ทุบดอกเบี้ยกู้นอกระบบ ได้จริงหรือไม่