เจพีฯคาดราคาพลังงานพุ่งสูงกว่าปกตินาน เบรนท์ 90-110 ดอลลาร์ปี’67

HoonSmart.com>>เจพีมอร์แกนแนะ “เพิ่มน้ำหนัก”การลงทุนกลุ่มพลังงานทั่วโลก คาดพลังงานเข้าสู่ “supercycle” ราคาพุ่งสูงขึ้นมากกว่าปกติติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน น้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหว 90-110  ดอลลาร์ในปี 2567 และ 100-120 ดอลลาร์ในปี 2568 อาจแตะ 150 ดอลลาร์ ในปี 2569

ในบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 ก.ย.2566) คริสเตียน มาเล็ค นักวิเคราะห์ของ เจพี มอร์แกน ได้เพิ่มคำแนะนำการลงทุนภาคพลังงานทั่วโลกทั้งหมดเป็น เพิ่มน้ำหนัก หรือ overweight พร้อมเตือนว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) สูงถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในปี 2569

การคาดการณ์นี้มีพื้นฐานมาจากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงปริมาณในระยะสั้นถึงปานกลาง รวมทั้งวัฏจักร “ซูเปอร์ไซเคิล” ของพลังงาน และการเปลี่ยนผ่านจากไฮโดรคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง

ซูเปอร์ไซเคิล คือ ช่วงระยะที่ราคาของสินค้าพุ่งสูงขึ้นมากกว่าปกติติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน

ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นผลจากการลดการผลิตของ OPEC และรัสเซีย ควบคู่ไปกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มนี้ทำให้กังวลเรื่องเงินเฟ้อและความเป็นไปได้ที่จะอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นเวลานาน ราคาผู้บริโภคสหรัฐฯในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดของปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น

เมื่อวันศุกร์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นอีก 1% ซื้อขายที่ระดับ 94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากการห้ามส่งออกเชื้อเพลิงจากรัสเซีย ซึ่งสร้างความกังวลต่ออุปทานทั่วโลก

มาเล็คคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ระหว่าง 90 ถึง 110 ดอลลาร์ในปี 2567 และระหว่าง 100 ถึง 120 ดอลลาร์ในปี 2568 อย่างไรก็ตามเจพีมอร์แกนยังคงคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะยาว แม้จะมีความเสี่ยงที่ราคาระยะยาวจะขึ้นไปที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

จากข้อมูลของ เจพีมอร์แกน อุปทานทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะน้อยว่าอุปสงค์ราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2568 แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2573 ซึ่งเป็นผลจากทั้งแนวโน้มอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและแหล่งอุปทานที่จำกัด

มาเล็คกล่าวว่ากับบลูมเบิร์กเมื่อวันศุกร์ว่า “ต้องเตรียมพร้อมแบบต้องรัดเข็มขัดนิรภัย เพราะมันจะเป็นซุปเปอร์ไซเคิลที่ผันผวนมาก” โดยอธิบายว่าการลงทุนที่ลดลงในการผลิตน้ำมันใหม่ ควบคู่ไปกับการลดการผลิตจาก OPEC และผู้ผลิตน้ำมันชั้นนำอื่นๆ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า

แม้กังวลว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรปจะถดถอย ซึ่งโดยทั่วไปจะส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคจะลดลง แต่ราคาน้ำมันดิบกลับพุ่งสูงขึ้นในปี 2566 เพราะขาดการผลิตน้ำมันใหม่และการลดการผลิตจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก