HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนส.ค.ต่อตลาดหุ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้าพุ่ง ขึ้นโซนร้อนแรง”bullish”หุ้นกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มธนาคาร ได้รับความสนใจมากสุด ผลจากความเชื่อมั่นหลังจัดตั้งรัฐบาล ฟรีวีซ่า ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยหนุนภาคบริการฟื้นชีพ เงินไหลเข้าเพิ่มพยุงบาทแข็งแกร่ง แนะรับมือสินค้าจีนทะลักเข้าไทยตัดราคากระทบ 20 ภาคอุตสาหกรรม พร้อมเสนอ 5 แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี เดินหน้าหารือรัฐบาลเพิ่มเงินออมระยะยาว จับตาเรื่องแจกเงินดิจิทัล 50 ล้านคนอาจต้องกู้เพิ่มและต้องแก้กฎหมายอีกเพียบ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index:ICI)ประจำเดือนส.ค. 2566 พบว่า นักลงทุนทุกกลุ่มมีความเชื่อมั่นว่านับจากนี้ไปถึงเดือนพ.ย. หรือในอีก 3 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นอย่างมาก ดัชนี ICI เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 141.27 เข้าสู่เกณฑ์”ร้อนแรง หรือ bullish”ปรับขึ้น 69.3% จากเดือนก่อนหน้า โดยความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก”กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับขึ้นสู่เกณฑ์“ร้อนแรง”
นักลงทุนสถาบันสนใจหุ้นกลุ่มพาณิชย์มากที่สุด ตามด้วยกลุ่มธนาคาร เงินทุนและหลักทรัพย์ และกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ ส่วนนักลงทุนรายบุคคลสนใจหุ้นกลุ่มธนาคารมากที่สุด ตามด้วยหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาล ได้เห็นรายชื่อผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ซึ่งมาจากพรรคที่เคยบริหารประเทศมาก่อน จึงเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยรัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองชัดเจนในระยะสั้น กลาง และระยะยาว ซึ่งในระยะสั้นเน้นกระตุ้นการใช้จ่าย เช่นมีแนวคิดจะทำเรื่องฟรีวีซ่า เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากขึ้นและเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดท่องเที่ยวในไทย น่าจะได้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 2.4 ล้านคน เป็น 15.4 ล้านคนตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้มีเงินไหลเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมากขึ้น ช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความกังวลเรื่อง สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งเรื่องนี้ทางรัฐบาลจีนเริ่มที่จะให้ภาคเอกชนมารับภาระหนี้ด้วยตัวเองแล้ว การเป็นรัฐบาลผสมจะทำการประสานงานกันอย่างไรเพื่อให้สามารถทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนเมื่อตอนหาเสียงได้ทุกพรรค และจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้ ซึ่งปัจจุบันเท่าที่เห็นมีอยู่ 3 ทาง คือ จากงบประมาณที่เหลืออยู่ 2 แสนล้านบาท ก็มีคำถามว่าจะเพียงพอหรือไม่ หรือนำมาจากการตัดงบจากโครงการอื่นๆ หรือ จะใช้วิธีกู้เงิน ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังและวินัยทางการเงินของประเทศ รวมถึงการประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Financial Transaction Tax: FTT)เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากที่สุด
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ไทยต้องวางแผนรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนให้ดี เพราะกำลังการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศจีนเหลือจำนวนมาก สินค้าเหล่านั้นได้ทะลักเข้าสู่ตลาดโลกแล้ว และมีการขายตัดราคา ทำให้อุตสาหกรรมในตลาดโลกได้รับผลกระทบ ซึ่งจากการได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่าปัจจุบันมี 20 ภาคอุตสาหกรรมของไทยที่ได้รับผลกระทบจากการขายตัดราคาของจีนแล้ว แต่อีกมุมหนึ่งก็ส่งผลดีต่ออัตราเงินเฟ้อของโลกและของไทย เพราะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมาย แม้ว่าจะมีการแจกเงินดิจิทัลตามนโยบายหาเสียงอีก 5 แสนล้านบาท อัตราเงินเฟ้อของไทยก็เชื่อว่ายังต่ำกว่าเป้าหมาย
สำหรับ แผนการรับมือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีและรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะเริ่มขึ้นในกลางปี 2567 นั้น รัฐบาลควรจะดำเนินการ 5 เรื่องหลักๆ คือ 1. ต้องสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เช่น ทำเรื่องฟรีวีซ่าให้เร็ว ทำกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) 2. กำหนดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้เร็วขึ้น
3.จัดหาเงินลงทุนโดยตรงให้กับเอสเอ็มอี หรือ วิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะเอสเอ็มอีภาคท่องเที่ยวและบริการ กลุ่มที่เป็นลูกหนี้ดีก่อนโควิดระบาด ซึ่งหลังจากโควิดระบาดไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทำให้กลุ่มนี้ขาดรายได้ และกลายเป็นหนี้เสีย รัฐบาลจะต้องหาธนาคารมาค้ำประกันสินเชื่อให้กับกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้รับมือกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป
4.รัฐบาลต้องเร่งโครงการลงทุนเก่าๆ ที่ยังคั่งค้างให้เดินหน้าอย่างเร็วที่สุด
5.ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามา ด้วยการปลดล็อคขั้นตอน กฎระเบียบ ที่กินเวลายาวนาน เพื่อดึงกลุ่มสตาร์ทอัพเข้าไทย จะช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนรายใหญ่ หรือ อุตสาหกรรม จากประเทศอื่นๆ ที่กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิต หากไทยลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ลงได้ จะทำให้ดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงเข้ามาได้อีกจำนวนมาก
“ในส่วนของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เราจะหารือกับรัฐบาลในการนำตลาดทุนเข้าไปช่วยพัฒนาประเทศ โดยการสนับสนุนให้เกิดการออมระยะยาว ทั้งออมเพื่อการเกษียณ และออมเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ขณะเดียวกันตอนนี้ทางตลาดทุนก็พยายามอุดช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ ด้วยการร่วมมือกันหาแนวทางการป้องกันและเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับคืนมา”นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับนโยบายหาเสียงที่จะมีการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งมีจำนวน 50 ล้านคน หากยังยืนยันเช่นนั้นจะต้องใช้เงินถึง 5 แสนล้านบาท จะมีผลกระทบต่อตลาดเงินไม่มากนัก จะไม่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ และต้องใช้เวลาพอสมควร ที่รัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องไปหารือกัน เพราะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และจะนำงบประมาณจากที่ไหนมาใช้ในเรื่องนี้ ซึ่งเท่าที่เห็นมีอยู่ 3 ทางคือ จากงบประมาณที่เหลือ จากการเจียดงบจากโครงการอื่น และจากการกู้ยืม