กลุ่ม BTS เพิ่มสัดส่วนหุ้น VGI กูรูเชียร์เคาะเป้า 2.90-5.50 บาท

HoonSmart.com>>บีทีเอสฯ รับซื้อหุ้นวีจีไอ ( VGI) 6.74% จากกลุ่มกัลฟ์ฯ ทั้งกลุ่มถือเพิ่มเป็น 60%  นักวิเคราะห์ 10 รายให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 3.79 บาท บล.กรุงศรีชูสูงสุด  5.50 บาท  สวนทางบล.ธนชาตให้เพียง 2.90 บาท ด้านบล.หยวนต้าปรับคำแนะนำเป็นซื้อ มองผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดปี  66/67 พลิกมีกำไร 340 ล้านบาท หั่นมูลค่าเหมาะสม จาก 4.66 บาทเหลือ 3.88 บาท

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ได้ซื้อหุ้นบริษัท วีจีไอ ( VGI) บิ๊กล็อต โดยวันที่ 2 มิ.ย.2566 ซื้อมาจากMr.Saris Ratanavadi, Manford Equity Holdings Ltd., Gulf Investment and Trading จำนวน 411 ล้านหุ้น สัดส่วน 3.67% และวันที่ 6 มิ.ย.ซื้อจาก Gulf Capital Holdings Limited  จำนวน  343 ล้านหุ้น หรือ 3.0657% ทำให้มีหุ้นทั้งสิ้น 3,365.7 ล้านหุ้น หรือ 30.0656%

ทั้งนี้หากรวมการถือหุ้นของทั้งกลุ่มบีทีเอส ได้แก่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน 3,320.66 ล้านหุ้น สัดส่วน 29.6632% และหุ้นในมือ นายคีรี กาญจนพาสน์ จำนวน 67.89 ล้านหุ้น หรือ 0.6064% รวมหุ้นทั้งสิ้น 6,754.24 ล้านหุ้น สัดส่วน 60.3352% ทั้งนี้ บีทีเอสฯรายงานว่าราคาหุ้นที่ได้มาสูงสุดในช่วง 90 วันที่ผ่านมา  อยู่ที่ 4 บาท เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2566

สำหรับบริษัท Gulf Capital Holdings Limited ถือหุ้นใหญ่อันดับสามจำนวน 9.89%   และ GULF INVESTMENT AND TRADING PTE. LTD. ถือหุ้นอันดับเจ็ด 3.22%ในบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์

นอกจากนี้จากโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 1 มี.ค.2566 พบว่ามีกองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หก จำนวน 312,444,770 หุ้น สัดส่วน 2.79
นักวิเคราะห์ 10 รายส่วนใหญ่แนะนำให้ถือหุ้น VGI ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 3.79 บาท/หุ้น โดยบล.กรุงศรีให้มูลค่าเหมาะสมสูงที่สุด 5.50 บาท ขณะที่บล.ธนชาตให้ต่ำสุดที่ 2.90 บาท

บล.หยวนต้า ออกบทวิเคราะห์ วันที่ 31 พ.ค. มอง VGI ผ่านช่วงแย่สุดไปแล้ว คาดปี 2566/2567 พลิกจากขาดทุน 580 ล้านบาทในปีก่อนมีกำไร 340 ล้านบาทบริษัทตั้งเป้ารายได้ฟื้นตัวเด่น 23-33% ขณะที่ผลประกอบการร่วมที่เป็นตัวฉุดทั้ง KEX และ JMART ก็ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงปรับคำแนะนำจากเทรดดิ้งเป็น ซื้อ หลังจากราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควร

“แม้บริษัทจะให้เป้ารายได้ปีนี้เติบโตสูง แต่เรามีปัจจัยที่กังวลทั้งปัจจัยมหภาค และธุรกิจของบริษัทร่วมทั้งJMART และ KEX ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง และออกมาต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด เพื่อสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว จึงปรับลดกำไรปกติปี 2566/2567 ลงจากเดิม 43% เป็น 340 ล้านบาทปรับลดมูลค่าเหมาะสมจาก 4.66 บาทเหลือ 3.88 บาทโดยปรับสมมติฐาน ดังนี้ 1) ปรับลดรายได้ลง 9% เป็น 5,762 ล้านบาท2) ปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นจากเดิมที่ 32.0% เป็น 33.1% และ 3) ปรับ SG&A เพิ่ม 3.6%4) ปรับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมจากเดิมที่คาดกำไร 253 ล้านบาท เป็นขาดทุน 170 ล้านบาท