BTS งวดปี 65/66 กำไรวูบ 52% ปันผลอีก 0.16 บาท XD 28 มิ.ย.นี้

HoonSmart.com>> “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” (BTS) เปิดงบปี 65/66 กำไรสุทธิ 1,836 ล้านบาท ลดลง 52% รายได้รวม 24,139 ล้านบาท หลังรายได้ลดลงจากก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองเข้าสู่ช่วงท้ายของการก่อสร้าง บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายอีก 0.16 บาท ขึ้น XD 28 มิ.ย.66 พร้อมคาดการณ์ปี 66/67 ธุรกิจ MOVE รถไฟฟ้าดีขึ้น ธุรกิจ MIX สื่อโฆษณา คาดรายได้ 6,000-6,500 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิมากกว่า 10% ส่วนธุรกิจ MATCH เดินหน้าสร้างการเติบโตของธุรกิจบริการทางการเงินต่อเนื่อง ด้านบล.กรุงศรี ผิดหวังงบไตรมาส 4/66 ขาดทุน เล็งทบทวนประมาณการปี 66/67 รอผู้บริหารพบนักวิเคระห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” เป้า 10 บาท

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดปี 2565/2566 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 กำไรสุทธิ 1,836.48 ล้านบาท กำรไต่อหุ้น 0.139 บาท ลดลง 52% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,825.58 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.291 บาท

บริษัทฯมีรายได้รวมจำนวน 24,139 ล้านบาท ลดลง 22.6% หรือ 7,056 ล้านบาท จากปีก่อน รายได้ที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการให้บริการรับเหมาลดลง 9,227 ล้านบาท เนื่องจากอยู่ในช่วงสุดท้ายของงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง อย่างไรก็ตามการลดลงดังกล่าวถูกชดเชยด้วย รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามการลดลงดังกล่าวถูกชดเชยด้วยรายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น 1,498 ล้านบาท จากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจ MIX และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจ MOVE และรายได้ดอกเบี้ยรับจำนวน 1,097 ล้านบาท จากปีก่อน

ด้านค่าใช้จ่ายรวมลดลง 23.0% จากปีก่อน เป็น 17,510 ล้านบาท สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง แต่ลดลงในสัดส่วนที่มากกว่าการลดลงของรายได้

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานวันที่ 1 เม.ย. 2565 – 31 มี.ค. 2566 ในงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 29 มิ.ย. 2566 ขึ้น XD วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล 28 มิ.ย. 2566 และจ่ายเงินวันที่ 18 ส.ค. 2566 ก่อนหน้านี้บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2566 ส่งผลให้อัตราเงินปันผลผลตอบแทนสำหรับปี 2565/66 อยู่ที่ 3.85% เทียบกับ 3.48% ในปี 2564/65

พร้อมกันนี้อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจําปี 2566 เพื่อพิจารณาและอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอํานาจทั่วไป (General Mandate) จํานวนไม่เกิน 4,000 ล้านบาท (หรือเท่ากับประมาณ 7.59% ของทุนจดทะเบียนชําระแล้วของบริษัทฯ) โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจํากัด (Private Placement) แผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอํานาจทั่วไปดังกล่าว เป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้แก่บริษัทฯ หากมีผู้ลงทุนที่เหมาะสม ปละเตรียมพร้อมสำหรับแผนการลงทุนในอนาคตได้ทันกาล โดยบริษัทฯ มีการเสนอและได้รับอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอํานาจทั่วไปจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นประจําทุกปี แต่บริษัทฯ ยังไม่มีการดําเนินการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว

นอกจากนี้อนุมัติการออกและจัดสรรใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ให้แก่ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยภายใต้โครงการ BTS Group ESOP 2023ชื่อ “ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ที่ออกให้แก่ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ครั้งที่ 8 (BTS-WH)” จํานวนไม่เกิน 30 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่า เพื่อเป็นขวัญและกำไลังให้กับผู้บริหารและพนักงาน รวมทั้งออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 72,388.863 หุ้น รองรับการใช้สิทธิ BTS-W7 และจำนวนไม่เกิน 144,778,257 หุ้น รองรับการใช้สิทธิ BTS-W8

บริษัทฯ มีมุมมองต่อหน่วยธุรกิจภายใต้บีทีเอส กรุ๊ป ในปี 2566/67 โดยธุรกิจ MOVE รถไฟฟ้า คาดจะสามารถบันทึกรายได้ O&M จำนวน 6,900 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้า 5,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนและรายได้จากงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองอีกราว 2,900 ล้านบาท นอกจากนี้คาดว่าจำนวนเที่ยวเดินทางของรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักจะกลับมาเท่ากับระดับก่อนเกิดโควิด ในช่วงไตรมาส 2566/67 ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้สามารถรับรู้กำไรจากการลงทุน BTSGIF เพิ่มขึ้น

ธุรกิจ MIX เชื่อว่าธุรกิจและแบรนด์ต่างๆ อาจใช้แนวทางระมัดระวังใช้งบโฆษณาการตลาดจากความไม่แน่นอนของเศรษกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ อาจกระทบรายได้ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านของวีจีไอ คาดการณ์ปี 2566/67 รายได้จากธุรกิจ MIX อยู่ในช่วง 6,000-6,500 ล้านบาทและอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 10%

ธุรกิจ MATCH แรบบิท โฮลดิ้งส์ยังคงจำหน่ายสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์ตามแผนที่วางไว้ เพื่อนำเงินมาสร้างการเติบโตของธุรกิจบริการทางการเงิน ซึ่งจากหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นถึง 87% ของ GDP ของประเทศ แรบบิท โฮลดิ้งส์ ได้มองเห็นโอกาสจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงกับ ไพรม์โซนที่เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ ทั้งนี้ การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในไพร์มโซน ของแรบบิท โฮลดิ้งส์ คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนกรกฎาคม ปี 2566 จึงอยู่ในจังหวะเหมาะสมสำหรับการขยายตัวและสร้างความสำเร็จในธุรกิจบริการทางการเงินต่อไป ซึ่งบีทีเอส กรุ๊ป คาดหวังความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพภายใต้ธุรกิจ MATCH มากขึ้น เพื่อขยายโอกาสที่ไร้ขีดจำกัดและสร้างความร่วมมือเพื่อการเติบโตร่วมกัน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี เผยผลประกอบการของ BTS ในไตรมาส 4/66 ออกมาน่าผิดหวังอย่างมาก โดยพลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 222 ล้านบาท จากที่มีกำไร 813 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 และจากกำไร 1 พันล้านบาทในไตรมาส 3/66 ซึ่งผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าที่เราคาดไว้อย่างมากเป็น เพราะรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก โดยในไตรมาสนี้ มีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 602 ล้านบาทจากผลขาดทุนที่เกิดจากเครื่องมือทางการเงิน (การลงทุนในตราสารหนี้ และอนุพันธ์) และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อย (VGI, KEX และ Rabbit Holding)

อย่างไรก็ตามหากตัดรายการดังกล่าวออก กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 380 ล้านบาทเท่านั้น (-26% yoy,-25% qoq) ทั้งนี้ ค่าใช้จ่าย SG&A ที่พุ่งสูงขึ้นจาก VGI และผลขาดทุนจากการลงทุน (equity investment) เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดผลการดำเนินงาน โดยกำไรจากธุรกิจหลักเต็มปี 2566 อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ลดลง 20% yoy และต่ำกว่าประมาณการของเรา 14% เราจะทบทวนประมาณการกำไรปี 2567 หลังจากร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 2 มิ.ย.นี้

บล.กรุงศรี มองแนวโน้มยังดูท้าทายเพราะมีบริษัทย่อยเป็นตัวถ่วง ถึงแม้ว่าธุรกิจรถไฟฟ้าจะมีแนวโน้มสดใสจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของจำนวนผู้โดยสาร แต่แนวโน้มของบริษัทย่อย อย่างเช่น VGI (ถือหุ้น 51%) ยังดูท้าทายจาก การลงทุนในบริษัทย่อย ดังนั้น เราจึงไม่คิดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นมากนักในไตรมาส 1/67

“คงคำแนะนำซื้อ เนื่องจากราคาหุ้นตกเพราะความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ทางการ ถึงแม้ว่าแนวโน้มผลประกอบการจะไม่สดใส แต่เรายังคงคำแนะนำซื้อ โดยยังคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 10 บาท เพราะเรามองว่าราคาหุ้นที่ตกหนักในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาสะท้อนความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการไปมากแล้ว ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่จะถูกยกเลิกสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวกับ กทม. ด้วย”บล.กรุงศรี แนะนำ