SINGER-JMART ร่วงนำกลุ่มเจมาร์ท หวั่นผลงานปีนี้จะพลิกเป็นขาดทุน

HoonSmart.com>>หุ้นกลุ่มเจมาร์ทร่วงยกแผง นำโดย SINGER-JMART หลังผลงานไตรมาส 1/66 พลิกเป็นขาดทุน แรงกดดันจาก SINGER ด้านบล.ดาโอ เชียร์”ขาย”SINGER สะท้อนผลการดำเนินงานปี 66 ที่จะพลิกเป็นขาดทุน สูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองลบต่อกำไร JMART โดยรวมประมาณการมี Downside สูง 30-40% หลังไตรมาส 1/66 พลิกขาดทุน และอยู่ระหว่างปรับประมาณการ

เมื่อเวลา 10.23 น.หุ้นในกลุ่มเจมาร์ทปรับตัวลงทั่วหน้า นำโดยหุ้น SINGER ร่วง 11.11% มาที่ 12.00 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 235.79 ล้านบาท
หุ้น JMART ลบ 3.94% มาที่ 19.50 บาท ลดลง 0.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 361.09 ล้านบาท
หุ้น JMT ลบ 1.17% มาที่ 42.25 บาท ลดลง 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 130.11 ล้านบาท

บล.กรุงศรี พัฒนสิน มอง Negative หุ้น JMART ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 พลิกมาขาดทุน -295 ล้านบาท จากกำไร 325 และ 517 ล้านบาท ในไตรมาส 1/65 และไตรมาส 4/65 จากขาดทุนเงินลงทุน (Unrealised loss) จากการถือหุ้น BRR, SGC -352 ล้านบาท โดยกำไรปกติเหลือ 57 ล้านบาท (-82% y-y, -85% q-q) กดดันจาก SINGER ขาดทุน จาก ผล NPL เพิ่มมีนัยฯ ทำให้ตั้งสำรองสูง รวมถึง J-mobile รายได้ลดลง โดยบริษัทที่ยังเด่นคือ JMT (รวม JK) จากความสามารถตามเก็บหนี้ยังทำได้ดี และ JK Amc เริ่มส่งกาไรมากขึ้น รวมถึง สุกี้ตี๋น้อย รับส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสแรกมีนัยฯ

โดยรวมประมาณการมี Downside สูง 30-40% หลังพลิกขาดทุน จึงอยู่ระหว่างปรับประมาณการ โดยหุ้นในกลุ่มที่มองปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงสุดคือ JMT (ราคาเป้าหมาย 42 บาท) เชิง Tactial แนะซื้อวันที่ 31 พ.ค. ซึ่งหลุดจาก MSCI ส่วน JMART เหมาะสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง

ระยะสั้น แรงกดดันจาก SINGER และความผันผวนของการถือหุ้นบางบริษัทซึ่งต้อง Mark to market (Qtd ยังบันทึกขาดทุนเล็กน้อย) อย่างไรก็ตาม หุ้นปรับลงมาเยอะ และซื้อขาย P/BV 0.9 เท่า ต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยบริษัทมีแผนซื้อหุ้นคืนเริ่มวันนี้ – 15 มิ.ย. วงเงิน 400 ล้านบาท และมองภายใต้ Ecosystem ของกลุ่มยังช่วยหนุนภาพกลางยาวเติบโตได้

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำหุ้น SINGER เป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 6 บาท (เดิม 14 บาท) โดยเป็นผลจากการปรับกำไร และ de- rate PBV ลงเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานปี 66 ที่จะพลิกเป็นขาดทุน สูงสุดในรอบ 10 ปี บริษัทรายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ -843 ล้านบาท พลิกจากกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 และไตรมาส 4/65 ที่ 215 และ 193 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด จากยอดขายสินค้าที่หดตัวมากกว่า -71% YoY, รับรู้ค่าใช้จ่ายปรับมูลค่าสินค้า คงเหลือสูงถึง 436 ล้านบาท และ credit cost เพิ่มขึ้นเป็น 20.7% ตาม NPL เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นถึง 37% โดยปรับประมาณการปี 66 ลงเป็นขาดทุนสุทธิที่ 1.6 พันล้านบาท จากการปรับลดยอดขาย, รับรู้ Gross Loss Margin ในธุรกิจ Direct sale, เพิ่ม Credit cost และ NPL ขึ้น

ทั้งนี้ ประเมินว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 จะยังรับรู้ขาดทุน จากยอดขายที่ลดจากฐานที่สูง, ค่าใช้จ่ายสำรอง และ NPL เพิ่มขึ้น แต่จะดีขึ้น QoQ เล็กน้อยจากค่าปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่น้อยลง ราคาหุ้น underperform SET -18% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลต่อผลการดาเนินงานไตรมาส 1/66

ผลการดำเนินงานที่จะยังไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ววัน และต้องอาศัย ระยะเวลา 2-3 ปี เพื่อรักษาให้ NPL ดีขึ้นลงมาเป็น Single digit รวมทั้งผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมาขาดทุนสูงสุดในรอบ 10 ปี จึงเชื่อว่าราคาหุ้นควรที่จะเทรดที่ Discount และต่ำกว่าช่วงโควิด (มี.ค. 63) ที่เคยเทรดต่ำสุดที่ PBV 0.3x เนื่องจากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ และการผ่อนผันเกณฑ์ในการจัดช้ัน/ตั้งสำรองในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า